วันสงกรานต์ ซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่ของไทยก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่ชาวไทยทั้งหลายมีความสุข สนุกสนาน ประชาชนจำนวนไม่น้อย เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง รวมทั้งอีกจำนวนไม่น้อยก็เดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าปีนี้ยังมีการระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ แต่รัฐบาลก็ได้ผ่อนคลายมาตรการเพื่อการควบคุมป้องกันโรคไปไม่น้อย เพื่อให้การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับมาสู่สภาพใกล้เคียงปกติให้มากที่สุด รวมทั้งจะเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับคืนมาด้วย
หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังสงกรานต์สัก 3-4 วัน ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโรคโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมายพอสมควร เหตุผลสำคัญ ก็คงจะเนื่องมาจากการที่โรคระบาดนี้เกิดจากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นเชื้อที่แพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว และถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของประชาชนชาวไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 80% รวมทั้งความมีระเบียบวินัยที่ดีพอสมควรของชาวไทยทั้งหลายในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ คือการที่ต้องใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อออกจากบ้านของตัวเอง แต่เทศกาลสงกรานต์ก็เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้ผู้คนเกิดการละเลยต่อสิ่งที่ควรปฏิบัติ ในการที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้ได้รับเชื้อโรคระบาดนี้จากผู้ที่อยู่ใกล้เคียง เพราะโดยความจริงแล้วคงยากที่จะปฏิเสธว่า ขณะนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีเชื้ออยู่ในตัว แต่ไม่มีอาการ ซึ่งสามารถที่จะแพร่กระจายเชื้อสายพันธุ์นี้ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย แต่หากผู้ที่ได้รับเชื้อได้รับการฉีดวัคซีนตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งควรจะเป็น 3 เข็มแล้วเป็นอย่างน้อย ก็อาจจะไม่มีอาการ หรือมีความปลอดภัยหากมีการติดเชื้อแล้วเกิดอาการขึ้น ซึ่งมักจะไม่รุนแรง แต่สำหรับผู้สูงอายุที่เกินกว่า 60 ปี รวมทั้งประชากรกลุ่ม 608 ถึงแม้จะได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ แต่หากได้รับเชื้อ ก็มีโอกาสสูงที่จะมีอาการ และอาจจะมีอาการรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ถึงแม้จะเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยก็ตาม
ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงช่วงสงกรานต์นั้น ดูเหมือนว่า จะมีค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ที่ต่ำกว่า 25,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าใน 2-3 สัปดาห์ก่อน แต่ถ้าหันมาดูจำนวนผู้เสียชีวิตจะเห็นว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นจำนวนผู้เสียชีวิตในแต่ละวันมีจำนวนเกินกว่า 100 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลให้กับศบค.และกระทรวงสาธารณสุขอยู่ไม่น้อย และเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตยังจะสูงอยู่ในระดับนี้อีกระยะหนึ่ง เพราะขณะนี้มีผู้ป่วยที่ถือว่าเป็นกลุ่มอาการหนักอยู่มากกว่า 2,000 ราย และมีผู้ที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่มากกว่า 820 ราย ซึ่งในทั้งสองกลุ่มนี้มีโอกาสเสียชีวิตสูง และเมื่อวิเคราะห์เรื่องผู้เสียชีวิตในแต่ละวันจะพบว่า มากกว่า 80% เป็นผู้ที่อายุเกินกว่า60 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 75 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตที่เหลือเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่ม 608 คือมีโรคเรื้อรังเป็นโรคประจำตัวเกือบทั้งหมด
ถึงแม้รัฐบาลจะได้ออกมาตรการบางอย่างเพื่อควบคุมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การจัดงานพิธีและงานรื่นเริงในวันสงกรานต์ เช่น อนุญาตให้มีการจัดพิธีรดน้ำดำหัวได้ แต่ก็ไม่ให้มีการรวมตัวของคนหมู่มาก ห้ามไม่ให้มีการสาดน้ำเล่นสงกรานต์หรือประแป้ง ซึ่งจะทำให้เกิดการสัมผัสใกล้ชิด ในพื้นที่สาธารณะ แต่จากข่าวที่ปรากฏออกมา ก็ยังมีผู้ฝ่าฝืนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย อาทิ บริเวณถนนข้าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่ในช่วงสงกรานต์ของปีที่ผ่านๆ มาที่ยังไม่มีการระบาดของโรคโควิด-19 จะเป็นสถานที่ที่รู้จักกันดีว่า จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยจำนวนมากมายไปแออัดเบียดเสียดเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน ในปีนี้ก็ยังปรากฏว่ามีคนจำนวนไม่น้อยไปเล่นสงกรานต์สาดน้ำประแป้งในสถานที่ดังกล่าว และส่วนใหญ่ก็ไม่มีการป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งในอีกหลายๆ พื้นที่ในต่างจังหวัด ก็พบเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องของประชาชนเองที่ยังฝ่าฝืนมาตรการ รวมทั้งภาครัฐที่ไม่สามารถจะกำกับติดตามควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้ จนกระทั่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว จึงได้มีผู้บริหารที่เกี่ยวข้องออกมาให้ข่าวในทำนองที่จะกำกับควบคุมดูแลให้ดียิ่งขึ้น และก็เชื่อแน่ได้เลยว่าในกลุ่มประชาชนดังกล่าว มีผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการปะปนอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อยและพร้อมที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ณ ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 503 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นมากกว่า 6.2 ล้านราย โดยประเทศไทยของเรานั้นถูกจัดลำดับความรุนแรงของสถานการณ์การระบาด อยู่ที่อันดับ 10 จากจำนวนประเทศทั่วโลกทั้งหมด 193 ประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับสูงมาก โดยในส่วนของทวีปเอเชียนั้นประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 4 รองลงมาจาก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม และหากดูอัตราการป่วยสะสมต่อประชากร 1 ล้านคน ประเทศไทยจะอยู่ที่ 56,956 ต่อล้าน โดยประเทศที่มีอัตราส่วนเรื่องนี้สูงสุด คือ สหราชอาณาจักรซึ่งตัวเลขอยู่ที่ 317,386 ต่อล้าน และเมื่อดูเรื่องอัตราตายสะสมต่อประชากร 1 ล้านคน ประเทศที่มีอัตราตายสูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา มีตัวเลขอยู่ที่ 3,034 ต่อล้าน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 380 ต่อล้าน ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณ 8 เท่า แต่ยังสูงกว่าประเทศอินเดียที่มีประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน และระบบบริการสาธารณสุขอาจจะยังไม่ดีมากนัก
ในส่วนของพื้นที่การระบาดนั้น พบว่า กรุงเทพมหานครยังเป็นจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันมากที่สุด โดยเฉลี่ยในรอบสัปดาห์แล้วมากกว่า 3 พันราย รองลงมา คือจังหวัดที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ นครปฐม นนทบุรีที่เหลือคือจังหวัดใหญ่ๆ ในภาคอีสาน เช่น นครราชสีมาขอนแก่น ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ ส่วนในภาคใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังเป็นจังหวัดที่มีผู้ป่วยรายใหม่ติดอันดับจังหวัดที่มีผู้ป่วยสูง 10 จังหวัดแรกของประเทศมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ซึ่งจังหวัดดังกล่าวทั้งหมดอาจจะไม่ใช่จังหวัดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์มากนัก ก็หวังว่าจะไม่ทำให้ตัวเลขของผู้ที่ไปเที่ยวในจังหวัดดังกล่าว เมื่อกลับมาจากพื้นที่นั้นๆ แล้ว จะมีการติดเชื้อสูงมากขึ้น
มีแพทย์ที่เป็นอาจารย์และนักวิชาการบางท่าน ได้ให้ความเห็นว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจจะสูงขึ้น 2-3 เท่า แต่ก็จะลดลงเรื่อยๆ และคาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม ตัวเลขน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจะนำมาพิจารณาได้อย่างจริงจังว่า จะให้จังหวัดใดเป็นจังหวัดนำร่องในการที่จะประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นได้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นมีข่าวว่าจังหวัดสุรินทร์อาจจะได้รับการประกาศว่าเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยที่เป็นจังหวัดนำร่อง ว่าโควิด-19
เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา แต่ก็ได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากยังมีจำนวนตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่มากพอสมควร ทั้งนี้ หากเมื่อถึงเดือนพฤษภาคมแล้วพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เชื่อว่า นอกจากจะมีการประกาศจังหวัดนำร่องว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว และถ้าผลการดำเนินการติดตามพบว่าสามารถจะควบคุมโรคได้จริง ก็เชื่อว่า ณ วันที่ 1 กรกฎาคมนี้กระทรวงสาธารณสุขคงประกาศให้โรคโควิด-19 นี้เป็นโรคประจำถิ่นอย่างแน่นอน ซึ่งโดยความจริงในหลายประเทศในทวีปยุโรป รวมทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้ปลดมาตรการต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าโรคนี้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นโรคประจำถิ่นแล้วนั่นเอง โดยประเทศเหล่านั้นเชื่อว่า มีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้วมากเพียงพอ และได้เกิดสภาพที่เรียกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่เรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้สิ่งที่ต้องเร่งพิจารณาและดำเนินการคือ จะทำอย่างไรให้ผู้ติดเชื้อจากโรคนี้เสียชีวิตน้อยลง ซึ่งหมายความว่าจะต้องจัดให้ผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งประชากรกลุ่ม 608 และผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนมากขึ้น ทั้งในเรื่องของภาครัฐ
ที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการ จากการให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวเข้ารับการฉีดวัคซีนเอง มาเป็นภาครัฐเข้าถึงกลุ่มเหล่านี้เพื่อไปฉีดวัคซีนให้ ซึ่งบางพื้นที่โดยเฉพาะในกรุงเทพฯก็ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ในต่างจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล อาจจะยังมีปัญหาอยู่ รวมทั้งเรื่องของทำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากฉีดให้ครบตามเกณฑ์3 เข็มเป็นอย่างน้อย จะช่วยให้ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงหากได้รับเชื้อ และโอกาสของการเสียชีวิตจะมีน้อยที่สุด
เพียงอีกสองสามวันจากนี้ไป ก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวัน จะเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร ซึ่งเชื่อว่าไม่มีฝ่ายไหนอยากเห็นตัวเลขดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น จึงต้องเป็นเรื่องที่ติดตามดู แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำหรับประชาชนทุกคนนั้น ซึ่งจำนวนไม่น้อยได้ใช้ช่วงเวลาสงกรานต์ เป็นช่วงที่ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของตนเองด้วยนั้น จะต้องกลับมาสู่การดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่อย่างเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ไม่ดำเนินชีวิตอยู่บนความประมาท และหากทุกคนทำได้ ก็เชื่อว่าการที่จะประกาศให้โรคโควิด-19 ในประเทศไทยเป็นโรคประจำถิ่น ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี