เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่กองทัพรัสเซียกรีธาทัพเข้าไปเพื่อยึดครองยูเครน ฝ่ายสหรัฐอเมริกา รวมทั้งพันธมิตรประเทศยุโรปตะวันตก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ต่างได้ร่วมกันคว่ำบาตร (Sanctions) รัสเซียอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกโดยฝ่ายรัสเซียนั้นถูกคว่ำบาตรทั้งในเรื่องการค้าขาย การลงทุน การเงิน การคลัง ไปจนถึงการคว่ำบาตรเป็นรายบุคคล (ซึ่งรวมไปถึงบุตรี 2 คนของประธานาธิบดีปูติน ด้วย) เรียกได้ว่าเป็นการเล่นงานกันอย่างไม่ไว้หน้า เอาเป็นเอาตาย เอากันให้ถึงที่สุด คือกะให้รัสเซียต้องสิ้นเนื้อประดาตัว และคุกเข่าลงยอมสยบ รับความพ่ายแพ้ และก็แน่นอนคงต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ต่อยูเครนเป็นสำคัญ
การคว่ำบาตรจึงเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งของฝ่ายสหรัฐฯ พันธมิตรยุโรปตะวันตก และอื่นๆ เสมือนเป็นการใช้การคว่ำบาตร เป็นกลไกเครื่องมือการทำสงครามอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นๆ โดนเช่นนี้ ก็คงจะยอมสยบราบคาบ หรือไม่ก็พังทลายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่า ประธานาธิบดีปูติน ยังไม่รู้สึกสะทกสะท้าน แถมยังสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศได้ กล่าวคือประชาชนพลเมืองไม่ได้ออกมาลุกฮือตามท้องถนนเพื่อคัดค้านการทำสงครามกับยูเครน แม้ว่าหลังการเกิดสงคราม วิถีชีวิตของชาวรัสเซียนั้นลำบากอย่างมาก โดยเฉพาะค่าครองชีพและสิ่งจำเป็นในชีวิตจะดูแพงขึ้น และจำกัดจำเขี่ยยิ่งขึ้น
แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ประธานาธิบดีปูติน และรัสเซียยังไม่เข่าสั่นและเข่าอ่อน? ก็คงจะมีสาเหตุที่อำนวยให้ประธานาธิบดีปูติน ยังยืนหยัด และไม่ลดละกับการทำสงครามกับยูเครน ซึ่งฝ่ายหลังได้รับความช่วยเหลืออย่างมากมายมหาศาลจากฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตร ทั้งในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ การข่าวกรอง และเงินช่วยเหลือ ควบคู่กับการลงโทษรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรดังกล่าว
ในโลกนี้อาจจัดได้ว่า มีแค่ 3-4 ประเทศเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาตนเอง หรือเรียกว่าอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และรัสเซีย เนื่องจากประเทศดังกล่าวเหล่านี้ผลิตอาหารได้เพียงพอ มีเชื้อเพลิง พลังงานธรรมชาติมีบุคลากรที่มีคุณภาพในด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ การสาธารณสุข กิจการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเพื่อความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง
รัสเซียเองมีพื้นที่ประมาณ 1/6 ของโลก กว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา มีทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน และในทะเล ผลิตอาหารได้เพียงพอ แถมยังส่งออกได้ด้วย แล้วก็ยังผลิตปุ๋ยเพื่อใช้และเพื่อส่งออกด้วย และผู้คนต่างรู้หนังสือ มีนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ในจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนที่ไม่น้อยหน้าใคร คือ โดยองค์รวมรัสเซียพึ่งตนเองได้ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องพลังงาน เรื่องการแพทย์ การสาธารณสุข และเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ นอกจากนั้นรัสเซียมีทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อย่างเหลือใช้ แถมยังมีถ่านหินอีกด้วย และมีแร่ที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ เช่น นิเกิล และแร่หายากอื่นๆ ทั้งหมดนี้ผู้นำรัสเซียก็คงจะบวกลบคูณหารแล้วว่า พอที่จะรับแรงกระทบจากการคว่ำบาตรได้ อีกทั้งรัสเซียก็ยังมีช่องทางทำมาค้าขายกับประเทศอื่นๆ ที่อยู่นอกค่ายฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก เช่น จีน อิหร่าน อินเดีย และอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ และก็ได้ร่วมมือกับจีนในการใช้เงินรูเบิลและเงินหยวน เป็นเงินสกุลกลาง ทดแทนเงินดอลลาร์ ยูโร และเงินเยน กลายเป็นการสร้างระบบ ระเบียบเศรษฐกิจและการเงินโลก ขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง (คู่ขนานกับระบบเงินดอลลาร์ เงินยูโร และเงินเยน) ทั้งนี้ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น จะมีบริษัทค้าขายข้ามชาติแบบสีเทาๆ ที่จะทำมาหากิน กับสภาวการณ์การคว่ำบาตร มีขีดความสามารถอย่างสูงในการซิกแซ็ก เล็ดลอดเงื้อมือของการคว่ำบาตร เพื่ออำนวยให้ประเทศที่ถูกคว่ำบาตรสามารถทำมาค้าขายได้ แม้ว่าสนนราคาจะแพงกว่าปกติก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งที่เราชาวโลกจะต้องไม่ลืมคือ ความอึดและความอดทนของชาวรัสเซีย ซึ่งได้ผ่านพ้นการรุกรานของนโปเลียนจากฝรั่งเศส การรุกรานจากเยอรมนีถึง 2 ครั้ง 2 ครา และการเข้าแทรกแซงในการเมืองภายในช่วงการต่อกรระหว่างฝ่ายกองทัพแดง กับกองทัพขาว ของรัสเซีย โดยสหรัฐฯ และประเทศเจ้าอาณานิคมยุโรป และญี่ปุ่นด้วยในช่วงหลังการปฏิวัติโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และช่วงปลายสงครามของสงครามโลกครั้งที่ 1
ฝรั่งเศสก็ดี เยอรมนีก็ดี ต่างไม่สามารถเอาชนะรัสเซียได้ และก็ยังถูกตีกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีกด้วย รัสเซียในตลอดประวัติศาสตร์ยุโรป แม้จะถูกจัดเป็นสังคมล้าหลัง แต่สุดท้ายก็สามารถถีบตัวขึ้นมาได้ และเมื่อล้มก็สามารถลุกขึ้นมาได้ จะด้วยความรักชาติ หรือจะด้วยความอดทนเกินมนุษย์ธรรมดาก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่เราชาวโลกต้องตระหนักให้ดี โดยแทนที่จะประหัตประหารกันให้ถึงที่สุด ก็น่าจะมองกลับไปที่ต้นเหตุ ก่อนการกรีธาทัพของรัสเซียเข้าสู่ยูเครนเป็นครั้งที่ 2 ว่ามันคืออะไร? และควรตัดสินใจว่า พวกเราจะต้องใช้วิธีการเจรจาทางการทูตเท่านั้นเป็นทางออก เพื่อที่จะยุติปัญหา
ประเด็นหนึ่งที่ต้องตระหนักอีกด้วยก็คือ หากรัสเซียที่แบกอาวุธนิวเคลียร์หลายๆ พันลูกนั้นไม่มั่งมีศรีสุข
ไม่อ้วนหมีพีมัน เท่ากับสหรัฐอเมริกา หรือยุโรปตะวันตก หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น โดนบีบคั้นจนกลายเป็นประเทศผอมโซ ก็จะเข้าทำนองว่า ต้อนคนเข้าสู่มุมอับ ซึ่งเมื่อกลายเป็นหมาจนตรอก ก็ย่อมจะกล้าที่จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่จะทำให้โลกวอดวายกันไปทั้งมวลได้
อันที่จริงแล้วก็มีผู้คนแค่ไม่ถึง 10 คนในโลกเท่านั้นที่จะต้องถอยหลังสักคนละ 1 ก้าว (คือผู้นำของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซีย ไปจนถึงจีน) แล้วก็ตั้งสติสักนิดหนึ่งเพื่อเปิดโต๊ะเจรจาต่อกันและกัน แล้วหาหนทางที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ท่ามกลางความเห็นต่าง อคติ และการโกรธแค้นแต่อดีต โลกต้องมุ่งหน้ามิใช่ถดถอย
หากทั้งสิบคนดังกล่าวยังคิดจะเอาชนะคะคานกันให้ถึงที่สุดแล้ว โลกคงไม่พ้นความวายวอด และผู้คนทั้งโลกอีกเกือบ 8 พันล้านคน ก็จะกลายเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี