พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งมีการประชุมรับรองรายงานการประชุมใหญ่สามัญพรรค ปชป. ประจำปี 2564 ในการประชุมครั้งนี้ เป็นที่จับตาว่า กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรค จะหยิบยกเรื่องของนายปริญญ์พานิชภักดิ์ มาหารือในวงประชุมอย่างไร และท่าทีของหัวหน้าพรรค อย่างนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จะออกมาแบบไหน
มาดูเหตุการณ์สำคัญและ “วิธีการชี้แจง” ของหัวหน้าพรรคกันครับ
1) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ยกมือขึ้นหลังจากรอไมค์นานมาก เพราะการประชุมครั้งนี้ทางพรรคกำหนดให้แอดมินที่จัดประชุมผ่านระบบซูมเป็นผู้ควบคุมไมค์
โดยนายสาทิตย์ กล่าวว่า ติดใจแผนข้อที่ 8 และข้อที่ 9 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางเพศที่พรรคได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาตลอด หากจะให้สังคมเชื่อถือพรรคต้องปฏิบัติให้สังคมเห็นเป็นตัวอย่างก่อน แต่ขณะนี้มีเรื่องของอดีตรองหัวหน้าที่กำลังเป็นข่าวฉาวโฉ่ แม้หัวหน้าพรรคจะออกมาขอโทษสังคมแล้วก็ตาม ในฐานะที่เป็นคนผลักดันให้บุคคลดังกล่าวก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารพรรค แต่สังคมก็ยังไม่จบ เพราะสื่อและสังคมเรียกร้องขอให้หัวหน้าพรรคแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากพรรคใช้สโลแกน “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” ถ้าคนของพรรคมีปัญหาพรรคก็ต้องรับผิดชอบ หัวหน้าพรรคในฐานะที่ผลักดันบุคคลนี้เข้ามา และมีปัญหาในเรื่องจริยธรรม แม้จะแถลงขอโทษ แต่หัวหน้าพรรคก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบเท่าที่ควร เช่นนี้สังคมจะเชื่อถือพรรคได้อย่างไร
“ยังไม่รวมถึงกรณีประเด็นแชทไลน์ของกรรมการบริหารพรรคหญิงคนหนึ่งที่กล่าวหาบุคคลภายในพรรคกับสส.ของพรรค ในเชิงลักษณะชู้สาว สร้างความเสียหายมาก แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆเพราะถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องดำเนินการ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง หัวหน้าพรรคก็ต้องลงโทษผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวในไลน์ กก.บห. แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆที่ผมพูดเรื่องนี้ เพราะคาดว่ากรณีแชทไลน์จะส่งผลกระทบต่อพรรคในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าอย่างมากแน่นอน ทั้งสองกรณีนี้เชื่อมโยงถึงการแสดงความรับผิดชอบของผู้นำพรรค ผมรู้ว่าตำแหน่งนี้ได้มายาก แต่ตำแหน่งไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเกียรติภูมิและอุดมคติ กับจุดยืนทางจริยธรรมของพรรค” นายสาทิตย์ กล่าว
2) นายจุรินทร์ได้ตอบกลับว่า ตนไม่ได้นิ่งเฉย ได้มีการแถลงขอโทษและลาออกจากคณะกรรมการ ทั้ง 2 ชุด ส่วนกรณีปริญญ์ก็ได้แสดงความรับผิดชอบไปแล้ว ถ้าตนลาออกก็เป็นการทิ้งปัญหาพรรค
3) นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้ “ลาออกจากกรรมการทั้ง 2 ชุด” กรรมการทั้งสองชุดนั้น เป็นตำแหน่งใน “รัฐบาล” ไม่ใช่ตำแหน่งในพรรค ส่วนตำแหน่งในพรรค คือ ตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่ “ขอให้ที่ประชุมพิจารณารับรองนายปริญญ์เป็นกรณีพิเศษ” นั้นเขาเลือกที่จะไม่พูด
4) ภายหลังการประชุม หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า กรณีของคุณปริญญ์นั้น ตนได้ชี้แจงแทน กก.บห. พรรค ว่า ได้มีการแถลงไปแล้วอย่างน้อยครั้งหนึ่ง นอกจากการให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านั้น และขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง มี ดร.รัชดา ธนาดิเรก และบุคคลภายนอกพรรคที่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชน บทบาทสตรี และผู้ที่ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เข้ามาร่วมเป็นคณะทำงาน และเป็นคณะกรรมการ ซึ่งจะเป็นผู้ที่เข้าไปช่วยดูด้วยว่า จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตเราจะหาทางป้องกันปัญหาได้อย่างไร และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมถึงจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง ซึ่งอาจจะกลายเป็นต้นแบบของพรรคการเมืองทุกพรรคต่อไปในอนาคตได้
ส่วนกรณีที่มีผู้นำข้อความทางไลน์ภายในพรรคออกไปเผยแพร่ข้างนอกว่า เรื่องนี้ก็ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเช่นเดียวกับที่สาธารณชนรับทราบว่า พรรคมีการตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาตรวจสอบ รวมไปถึงการกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไปในอนาคตด้วย โดยมอบให้รองหัวหน้าพรรค นายนราพัฒน์ แก้วทอง เป็นผู้ดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงเวลานี้ยังยืนว่า จะยังไม่ลาออกใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนได้พูดเรื่องนี้ไปแล้วว่า ความรับผิดชอบนั้น ถ้ามันเลยขอบเขตก็จะกลายเป็นความไม่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ทำไปก็คือ เมื่อปัญหาเกิดในยุคเรา ตนก็ไม่ผลักความรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เข้าไปแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปข้างหน้าให้ได้ และก็ไม่หนีปัญหา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เราได้ยึดถือยึดมั่นมา
หรือแม้แต่กรณีที่คุณวิทยา แก้วภราดัย ได้ออกมายกตัวอย่างว่า ในยุคที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยถูกกล่าวหาทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง ท่านก็ได้แสดงความรับผิดชอบหรือแสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่กรรมการบริหารพรรค ก็ไม่ได้ลาออก แต่กรรมการบริหารพรรคชุดนั้น ก็ไม่ได้หนีปัญหา และได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาด้วยการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค จนกระทั่งมีมติ ที่จะให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี และตนก็เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากมติพรรคให้ปรับคณะรัฐมนตรีจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข เพื่อไปแก้ปัญหาในกระทรวงสาธารณสุข จากการลาออกของคุณวิทยา ซึ่งเรื่องนั้นเป็นมาตรฐานหรือเป็นสิ่งที่เราได้เคยปฏิบัติมายุคนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาตรฐาน และยุคนี้ก็ได้ปฏิบัติไปตามนั้น เมื่อคุณปริญญ์ได้เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาคุณปริญญ์ก็ได้ลาออกไปจากทุกตำแหน่งในพรรคส่วนกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีหน้าที่ที่จะแสดงความรับผิดชอบจนเกินเลยขอบเขตของความรับผิดชอบจนกลายเป็นการหนีความรับผิดชอบ และกรรมการบริหารพรรคก็มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการ ที่มี ดร.รัชดา เข้ามาแก้ไขปัญหา
“ทุกยุคทุกสมัยก็มีปัญหาเกิดขึ้น กรรมการบริหารพรรคที่สมาชิกเขาเลือกมาจากมติทั่วประเทศก็มีหน้าที่เข้าไปแก้ปัญหาไม่ว่าองค์กรใด ไม่ใช่เฉพาะประชาธิปัตย์ ทุกองค์กรมีปัญหาได้ทั้งสิ้น คนที่รับผิดชอบองค์กรก็ต้องแก้ปัญหาในรัฐบาลก็มีปัญหา ไม่ใช่ไม่มี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี คนเป็นรัฐมนตรีก็มีหน้าที่เข้าไปแก้ปัญหา เพราะเขาเลือกขึ้นมาเป็นผู้บริหารพรรค หรือผู้บริหารองค์กรเพื่อไปแก้ปัญหาถ้าหนีปัญหาก็กลายเป็นความไม่รับผิดชอบประการหนึ่งเหมือนกัน ทุกอย่างมีหลายมุม”
5) ข้อเท็จจริงก็คือ นายปริญญ์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นรองหัวหน้าพรรค แต่นายจุรินทร์ได้ขอใช้ข้อบังคับพิเศษเพื่อจะให้นายปริญญ์ได้เป็นรองหัวหน้าพรรค แต่นายวิทยาได้เป็นรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับการ “ใช้เงื่อนไขพิเศษ” ใดๆ ของใครเลย
เรื่องนี้ ให้อ่านจากเฟซบุ๊คของนายเทพไทเสนพงศ์ ครับ
โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว ข้อความว่า จากการที่
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และต้องขอถือโอกาสนี้ กราบขอโทษกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะหัวหน้าพรรคขอเรียนว่า ตนมีส่วนสำคัญในการนำนายปริญญ์เข้าพรรค แม้ว่ากระบวนการจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค และการดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค จะต้องผ่านการลงคะแนนให้ความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ก็ตาม หรือแม้แต่กรณีที่เราไม่อาจจะทราบการณ์ล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไร ขึ้นอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบ ต้องร่วมกับคณะกรรมการบริหารพรรค แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด
ผมคิดว่าคำพูดของนายจุรินทร์ที่ยอมรับว่า มีส่วนสำคัญในการนำ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ เข้าเป็นรองหัวหน้าพรรค ทำให้สังคมอยากรู้ว่า มีส่วนสำคัญอย่างไร จึงขออนุญาตอธิบายตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ดังนี้
1.นายปริญญ์ เป็นบุคคลภายนอก ซึ่งเพิ่งเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ การเข้าสู่ตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรค ต้องมีคุณสมบัติตาม
ข้อบังคับพรรค ข้อ 31 ระบุว่า สมาชิกผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกตั้ง เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่สมาชิกที่มีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
(1)เป็นหรือเคยเป็นกรรมการบริหารพรรค(2)เป็นหรือเคยเป็นคณะกรรมการสาขาพรรค(3)เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรค(4)เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรีในนามพรรค (5) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นที่พรรคส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง (6)สมาชิกที่ประชุมใหญ่มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมใหญ่ มีมติให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค
ซึ่งถ้าพิจารณาตามข้อบังคับพรรค นายปริญญ์ ขาดคุณสมบัติการเข้าเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้นายจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ใช้สิทธิ์เสนอตามข้อ 31(6) ขอให้ที่ประชุมใหญ่ มีมติยกเว้นคุณสมบัติ เพื่อให้นายปริญญ์ มีคุณสมบัติเป็นรองหัวหน้าพรรคได้ จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของนายจุรินทร์ ที่เป็นผู้เสนอชื่อนายปริญญ์ ให้ที่ประชุมใหญ่รับรองเข้าเป็นรองหัวหน้าพรรคภารกิจ ซึ่งที่ประชุมใหญ่ได้ให้การรับรอง เปรียบเสมือนการล็อกสเปกตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค จากโควตาของหัวหน้าพรรค
2.เมื่อมีกระแสข่าวว่านายจุรินทร์ จะเสนอชื่อนายปริญญ์ ขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค ทำให้มีสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ที่ทราบประวัติของนายปริญญ์มาก่อน ได้เข้าให้ข้อมูลและท้วงติงเกี่ยวกับประวัตินายปริญญ์ต่อนายจุรินทร์ แต่เมื่อนายจุรินทร์ยืนยันที่จะใช้สิทธิ์เสนอชื่อ นายปริญญ์เป็นรองหัวหน้าพรรค ก็เป็นสิทธิ์ของผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่สามารถกระทำได้
3.การเสนอชื่อ นายปริญญ์ ขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค เพื่อทำภารกิจเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ต้องการให้เข้ามาแทนที่บทบาทของนายกรณ์ จาติกวณิช
อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรค เพราะนายกรณ์ เป็นคู่แข่งขันในตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับนายจุรินทร์
การที่นายจุรินทร์ออกมาแถลงยอมรับว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการนำ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ เป็นรองหัวหน้าพรรคนั้น เป็นการแสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่ยอมรับความจริง เป็นคำพูดที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งที่ผ่านมา
จากข้อความที่นายเทพไทชี้แจงให้สังคมทราบ คือ หลักฐานและหลักการที่บ่งชัดว่า ทำไมนายจุรินทร์ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวว่า
“...เมื่อคุณปริญญ์ได้เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาคุณปริญญ์ก็ได้ลาออกไปจากทุกตำแหน่งในพรรค ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็ไม่มีหน้าที่ที่จะแสดงความรับผิดชอบจนเกินเลยขอบเขตของความรับผิดชอบจนกลายเป็นการหนีความรับผิดชอบ...”
6) “อย่าให้พรรคช้ำจนไม่เหลือชื่อประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่เหลือพรรค คำว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะเราถูกสอนมาว่าต้องรู้จักรับผิดชอบต่อสังคม และความรู้สึกของประชาชน ไม่ใช่เกาะเกี่ยวเหนียวติดอยู่กับตำแหน่ง ผมถูกฝึกมาอย่างนั้น พรรคเป็นของทุกคน พรรคก็เป็นของผม แต่ผมต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ เมื่อไม่มีใครรับผิดชอบ ผมต้องเลือกปกป้องพรรค” นายวิทยา แก้วภราดัย ให้สัมภาษณ์หลังยื่นใบลาออกจากพรรค
7) “....วันนี้ที่ผมต้องพูดถึงเรื่อง “จิตสำนึก” เพราะต้องการจะสื่อไปยังคนในพรรคประชาธิปัตย์ ให้ได้สำรวจตัวเองว่า “จิตสำนึก” ในการปกป้องพรรคมีมากแค่ไหน?แล้วถ้ามี มีมากกว่า “จิตสำนึก” ในการปกป้องตัวเองหรือไม่?
และถ้าคิดอะไรไม่เป็นเพราะมัวคิดแต่ประโยชน์ของตัวเอง จะส่งผลทำให้เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์แคบ และขาด “จิตสำนึก” ถึงส่วนรวม ก็คงจะถูกสังคมตำหนิอย่างนี้อยู่ร่ำไป...” อันวาร์ สา และสส.ปัตตานี ทั้งหมดนี้คือเหตุผลและข้อเท็จจริง!!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี