เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวเปิดตัวสวนชูวิทย์ และกล่าวในวันนั้นว่า
“... ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย”
ล่าสุด สวนชูวิทย์ถูกปิด และกำลังมีการก่อสร้างเป็นโครงการพาณิชย์ขนาดใหญ่ ความสูงกว่า 50 ชั้น
1. ที่ดินขนาด 6 ไร่ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท 10เป็นจุดเกิดเหตุพิพาทคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546
เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 26 ม.ค.2546 กลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ๊กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ตั้งอยู่บนพื้นที่สุขุมวิทสแควร์ พังราบคาบ โดยกลุ่มนายทุนว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิม เพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์ทางธุรกิจ
คดีนี้ พนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2546 ทั้งหมดให้การปฏิเสธ
หนึ่งในนั้น คือ นายชูวิทย์
ต่อมา พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหารวม 131 คนต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2549 ยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด
ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2555 ระบุ นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย และ พ.ต.ธัญเทพกับพวกรวม 66 คน มีความผิดจริง ฐานทำให้เสียทรัพย์ และใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน จึงพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ในที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ศาลเห็นว่า หลังเกิดเหตุ นายชูวิทย์ได้ร่วมกับพวกจำเลยอื่นชดใช้ค่าเสียหาย จนผู้เสียหายบางส่วนพอใจแล้ว และภายหลังได้นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่า จำเลยรู้สำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลย 2 ปี ไม่รอลงอาญา
หลังจากนั้น นายชูวิทย์ก็เข้าไปรับโทษในเรือนจำ จนกระทั่งพ้นโทษออกมา
2.หากอ้างว่า มันเป็นที่ดินส่วนตัว จะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา
พึงพิจารณาด้วยว่า มูลเหตุที่ทำให้ศาลฎีกาลดโทษจำคุกนายชูวิทย์ เหลือแค่ 2 ปี ก็นายชูวิทย์นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะ ในชื่อ “สวนชูวิทย์” ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก โดยศาลชี้ว่า “บ่งบอกว่า จำเลยรู้สำนึกผิดนับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลย 2 ปี”
3. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยเขียนเล่าไว้ในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ บางตอนว่า
“...ที่ดินแปลงนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่ทำให้ผมต้องสูญเสียอิสรภาพ...
หลังจากที่ฟังคำพิพากษาจนจบสิ้นกระบวนการตัดสินของศาลฎีกา ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่าเป็นคำพิพากษาที่ให้ความยุติธรรมกับจำเลยอย่างที่สุด แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาตัดสินจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพของผมแม้ว่าศาลฎีกาจะไม่รับพิจารณา แต่ก็ได้ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เหตุเพราะผมสำนึกผิด และได้พยายามเยียวยาโดยนำเอาที่ดินมูลค่ามหาศาลทำเป็นสวนสาธารณะปลูกต้นไม้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ทั้งโรงแรม สำนักงานล้อมรอบแทนที่จะนำที่ดินมาทำประโยชน์หาผลตอบแทนทางธุรกิจ...”
4. ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีแผนพัฒนาที่ดินแปลงนี้ ถึงขนาดกล่าวในการแถลงแผนการดำเนินงานในปี 2561 ระบุถึงโครงการลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท แต่สุดท้าย ก็ไม่บรรลุผล
ครั้งนั้น นายชูวิทย์เคยออกมาพูดถึงการเจรจาธุรกิจว่า “ทำไมผู้บริหารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ออกมาพูดก่อนว่าได้สวนชูวิทย์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรกับผมเลย” - “คุณอนันต์ต่อผม 2.2 ล้านบาทต่อวา ขอลด ทำไมที่ดินมันมีแต่ขึ้น ที่ดินเป็นแมตทีเรียลที่ไม่มีผลิตเพิ่ม มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น” - “ที่ดินทุกแปลงที่ผมมีอยู่ ไม่มีนโยบายขาย โฉนดผมเก็บที่บ้าน ไม่ได้เก็บที่แบงก์ ดังนั้น ผมไม่เป็นหนี้ใคร ผมให้เช่า ถ้าใครสนใจผมยินดีมาคุยกัน”ชูวิทย์กล่าว
5. ปัจจุบัน สวนชูวิทย์ถูกปิดรอบ ไม่ให้คนเข้าไปใช้แล้ว ไม่ใช่สวนสาธารณะแล้ว
มีป้ายระบุว่า กำลังก่อสร้างเป็นโครงการพาณิชยกรรมขนาดใหญ่
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ชูวิทย์จัดแถลงข่าวประกาศไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าว และจะนำที่ดินคืนสาธารณะให้สังคม
“... สวนนี้ชื่อว่าสวนชูวิทย์ แต่ความจริงแล้วอยากเรียกว่าสวนสะใจมากกว่า ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริงไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ เอาแต่ออกมาแถลงข่าวเรื่องหอยเรื่องปู ผมอยากเชิญชวนให้คนรวยเจ้าของที่ดินใน กทม. ได้นำมาใช้ประโยชน์ ไม่ได้ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ...”
ต่อมา วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548ชูวิทย์แถลงข่าวเปิดตัวสวนชูวิทย์ ระบุว่า
“... ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนไว้ว่าจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว และได้จ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป ...”
พึงตระหนักว่า ศาลฎีกาบรรเทาโทษให้นายชูวิทย์ เพราะการนำที่ดินมาทำสวนสาธารณะนั้นสะท้อนว่ารู้สำนึกผิดแล้ว จึงกำหนดโทษจำคุกแค่ 2 ปี และสุดท้าย ก็ติดคุกจริงๆ ไม่ถึงปี
บัดนี้ นายชูวิทย์เป็นอิสรชน วิพากษ์วิจารณ์การเมืองสังคมได้ตามใจ กำลังนำสวนธารณะนั้น ไปใช้เพื่อธุรกิจส่วนตัว ทำให้ประโยชน์สาธารณะเสียไป ? เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สำนึกผิดเดิม?
ขอฝากคำคมของนายชูวิทย์ เมื่อ 17 ปี ที่แล้ว - “ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริง ไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ”
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี