l ณ วันจันทร์ ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๕
จากวันนี้ ถึงวันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. วันอาทิตย์ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
จะมีเวลาเหลือ ๔ สัปดาห์ ประมาณ ๒๘ วัน
ประชาชนชาวกทม.จะเห็นอะไร? ที่ค่อยชัดเจนมากขึ้น
๑.ลีลาท่าที่ของผู้สมัครจะมีความขัดแย้งกันมากขึ้นโดยเฉพาะ ผู้สมัครที่มีโอกาสสูง
๒.พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ฯลฯ ที่สนับสนุนอยู่
๓.เจ้าของพรรค ที่สนับสนุน “นอมินี” หรืออิสระเทียม ๑กำลังเครียดหนักในการวางแผนแยบยลหลายชั้น ทั้ง “ออกแบบ พรรค ทุน สื่อ และสมุนบริวาร”ที่จะเล่นแรงและนอกกรอบมากขึ้น เพื่อหวังชัยชนะ
๔.บุคคล กลุ่มที่มีอิทธิพล รวมทั้งสื่อ ที่ได้ผลประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง และการได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะเปิดเผยตัว หรือถูกเปิดตัว มากขึ้น (ทั้งสิ่งที่เป็นความจริง ไม่จริง)
๕.การทุ่มทุนจะหนักและมโหฬาร อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน คาดว่า จำนวนเงินที่ใช้กัน ในส่วนผู้มีสิทธิจะได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะขึ้นไปถึงหลักหลายร้อยล้าน ถึงพันล้านฯ
๖.กระแสทางการเมือง และชาวกทม. จะมีทิศทางไปทางใดเป็นผลดี หรือผลเสียต่อผู้สมัครคนใด
๗.โพลล์ต่างๆ จะออกมาแรงขึ้น (ซึ่งความจริง จะไม่ตรง หรือห่างไกลจากความเป็นจริง)
และในอาทิตย์สุดท้าย ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ ๑๖ ถึงวันอาทิตย์ ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
กลยุทธ์ จะแสดงออกมาทุกรูปแบบ และรุนแรง(อาจจะมีเรื่องใหญ่ที่คาดไม่ถึง)
l คะแนนเสียง ของผู้มีสิทธิ จะแกว่งและผันผวน
๑.คะแนนจัดตั้ง หรือ คะแนนที่ได้รับจากการจัดการในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการซื้อเสียงทั้งการผ่านหัวคะแนน(เป็นหลัก) และโดยผู้สมัคร หรือทีมงานฯ
๒.คะแนนจากผู้จะเลือก ผู้สมัคร ที่ตนรัก ชอบ พอใจ ซึ่งมีทั้ง คงตัว และมีการเปลี่ยนใจบางส่วน
๓.คะแนน ที่ผู้มีสิทธิจะไม่เลือกผู้สมัคร ที่มีโอกาสจะได้ซึ่งจะมีความแรงขึ้น จนอาจจะเป็นคะแนน ที่มีส่วนสำคัญยิ่ง
๔.ในช่วงโค้งสุดท้าย จะเหลือ ผู้สมัครเพียง ๒ รายที่จะเป็นผู้มีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯกทม.จะเกิดการต่อสู้กันทางการเมืองอย่างรุนแรง
๕.คะแนนที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่จะเลือกคนที่ชอบ แต่ประเมินว่า ไม่มีโอกาสจะเปลี่ยนไปเลือก ผู้สมัครที่มีโอกาสเอาชนะ “ผู้สมัครที่ตนไม่ต้องการให้เป็นผู้ว่าฯกทม.”
๖.อาจจะมีเหตุการณ์ใหญ่ที่รุนแรง เกิดขึ้น ที่จะเป็นตัวพลิกสถานการณ์การเลือกตั้งฯ(แต่ สถานการณ์อาจจะไปไม่ถึง จุดนี้)ขึ้นอยู่กับบุคคลหรือผู้รับผิดชอบ ๒ ส่วน
(๑) ทาง กกต. และอาจจะไปถึงรัฐบาล
(๒) ทางผู้มีอิทธิพลใหญ่ ที่ส่ง “นอมินี” ลงสมัครฯ ที่จะแพ้ไม่ได้
เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวและครอบครัว และการเลือกตั้งใหญ่ทั่วไป
l เพื่อให้ได้ ความคิดความเห็นที่หลากหลายผมขอนำ “ความคิดเห็นของ อาจารย์โคทม อารียา ที่ให้มุมมองที่น่าสนใจ มานำเสนอ
l โคทม อารียา : เลือกใครดีเป็นผู้ว่าฯกทม. ผมตอบได้เพียงกว้างๆ ว่า ขอให้
๑.เลือกด้วย “หัว”
๒.เลือกด้วย “ใจ” และ
๓.เลือกด้วย “จิตวิญญาณ”
๑.ด้วยหัวหมายถึงด้วยเหตุผล ซึ่งอาจมีต่างกันไป
ยกตัวอย่าง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2565 แต่ด้วยเหตุผล เขารู้ว่าเลือกคนที่ตนชอบมากที่สุดก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะไม่มีโอกาสเข้า “วิน” ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากเลือกด้วย “เหตุผล” คือไม่ต้องการให้คะแนนของตนสูญเปล่า หรือต้องการให้คะแนนเป็นประโยชน์ (useful vote) นั่นเอง
นโยบายของผู้สมัคร อาจจัดเป็นเรื่องความคิดก็ได้ หรือเรื่องความชอบก็ได้ ถ้าถือนโยบายเป็นเรื่องความคิด จะต้องทำการบ้านในเชิงวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และมีโอกาสทำสำเร็จไหม คือมีแผนงานรูปธรรมรองรับเพียงใด
๒.เรื่องใจ หรือ ความชอบ
คือ เป็นเรื่องของความชอบ ทั้งตัวบุคคล และนโยบายแต่อาจารย์โคทม จะให้น้ำหนักที่เหตุผลมากกว่า
๓.คราวนี้มาถึงเรื่องจิตวิญญาณ
ผู้มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย แต่ผมคิดว่าควรดูให้กว้างกว่าการได้รับแต่งตั้ง กล่าวคือ ขอให้ดูพฤติกรรมและการแสดงออกอื่นๆ ด้วย ว่าสะท้อนจิตวิญญาณที่อยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใดความเปิดกว้าง คือเป็นผู้เปิดรับฟังความเห็นรอบด้าน นอกจากผู้นำพึงเปิดกว้างรับฟังแล้ว ยังพึงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลด้วย
l ความเห็น ต่อบางประเด็น ที่ผู้สื่อข่าวหรือ ชาวบ้านสนใจ ที่อาจารย์โคทม ได้แสดงทัศนะ
l 1.ผู้สมัครเป็นสมาชิกสภากรุงเทพฯ กับผู้สมัครผู้ว่าฯสัมพันธ์กันอย่างไร
ผมตอบไปว่า โดยทั่วไป ผู้สมัคร สก. ทำหน้าที่ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ และถ้าผู้สมัครคนนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ สก. ที่ได้รับเลือกตั้งในทีมเดียวกัน จะทำหน้าที่สนับสนุนผู้ว่าฯ ในทีมของตน กระนั้น ข้อน่าคิดคือว่า ผู้ว่าฯมีหน้าที่จัดบริการสาธารณะให้แก่ชาวกรุงเทพฯในทุกเขต ไม่ใช่เฉพาะในเขตที่ชาวกรุงเทพฯเลือกตั้ง สก. ที่อยู่ในทีมเดียวกัน
l 2.ทำไมพรรคบางพรรคจึงส่งแต่ผู้สมัคร สก. ไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ
ผมเข้าใจมี 3 พรรคที่เข้าข่ายดังกล่าว คือ
พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐและพรรคกล้า
เหตุผลที่ไม่ส่งลงสมัครผู้ว่าฯคงแตกต่างกันไป เป็นไปได้ว่า
๑.พรรคเพื่อไทยไม่อยากส่งผู้สมัครที่จะไปตัดคะแนนผู้สมัครบางคน
๒.พรรคพลังประชารัฐอาจมีผู้สมัครผู้ว่าฯที่อยู่ในใจหลายคนให้เลือกจึงไม่อยากเลือกที่รักมักที่ชัง และ
๓.พรรคกล้าอาจเห็นว่าการแข่งขันในสนามของเขตเหมาะสมกว่า เป็นต้น
l 3.พรรคที่ส่งทั้งผู้สมัครผู้ว่าฯและผู้สมัคร สก. นั้นมีเหตุผลอย่างไร
๑. พรรคประชาธิปัตย์ : เป็นพรรคเก่าแก่ มีฐานเสียงอยู่ที่กรุงเทพฯกับภาคใต้ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก่อนหน้านี้หลายครั้ง ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้ง พรรคคงอยากได้ตำแหน่งแชมป์ในกรุงเทพฯคืนมา จึงขับเคลื่อนกลไกของพรรคและฐานเสียงอย่างเต็มที่
๒. พรรคก้าวไกล : เป็นการปลีกตัวโดยบังคับมาจากพรรคอนาคตใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง สส. ของกรุงเทพฯครั้งที่แล้ว ประกอบกับมีนโยบายพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานราก คือจากชุมชนสู่การปกครองส่วนท้องถิ่น และแบ่งงานกันทำกับคณะก้าวหน้า ที่จะส่งผู้สมัครลงแข่งขันในการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยทั่วไป ยกเว้นกรุงเทพฯ เนื่องจากพรรคก้าวไกลประสงค์จะสร้างฐานเสียงในกรุงเทพฯ ให้เข้มแข็ง
๓. พรรคไทยสร้างไทย : แต่ผู้นำพรรคมิใช่คนหน้าใหม่มีข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าได้ฉลองการอยู่ในวงการการเมืองมา 30 ปี พรรคคงอยากก่อร่างสร้างตัวในกรุงเทพฯนั่นเอง
4. ผลลัพธ์จากการเลือกตั้งใน กทม. จะมีผลอย่างไรต่อการเลือกตั้ง สส. ที่จะตามมา
น่าจะมีอยู่สองส่วน
๑.ในส่วนของนักการเมือง
ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นใน กทม. จะช่วยในการคาดคะเนคะแนนนิยมของพรรคในกรุงเทพฯและในระดับประเทศได้อีกทางหนึ่ง ในส่วนของกรุงเทพฯนั้น คงต้องใช้การคำนวณเข้าช่วยบ้าง เพราะเขตปกครองกับเขตเลือกตั้ง สส. ในกรุงเทพฯไม่ตรงกันทีเดียว การรู้อารมณ์การเมืองของชาวกรุงเทพฯ จะเป็นประโยชน์ในการวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง สส. ต่อไป
๒. ในส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเลือกตั้ง สส. ที่จะแยกการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเหมือนหรือเกือบเหมือนการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อก็ง่ายคือเลือกพรรคที่ชอบ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับผลการเลือกตั้งในกรุงเทพฯสักเท่าไร แต่สำหรับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในกรุงเทพฯอาจช่วยผู้ประสงค์จะลงคะแนนให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง
l 5. ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯในปี 2556 มีการออกสโลแกนในโค้งสุดท้ายว่า
“ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ซึ่งทำให้คะแนนพลิกผันไปนั้นผู้สัมภาษณ์ถามว่าในการเลือกตั้งปีนี้ จะเกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกันหรือไม่ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีการออกสโลแกนเพื่อสร้างความกลัว ที่เหมือนกับความกลัวผี ซึ่งในสโลแกนดังกล่าวใช้สรรพนามว่า “เขา” กระนั้นก็ตาม แม้แต่ในการเลือกตั้งปี 2556 ผมไม่แน่ใจว่าสโลแกนดังกล่าวมีผลจริงอย่างที่คุยหรือไม่ แต่มาคราวนี้ ผมหวังว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะตั้งสติและใช้หลักของกาลามสูตรประกอบกับโยนิโสมนสิการ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ภายใต้เหตุและผล โดยไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ
ไม่ทราบว่าผมได้ตอบคำถามที่ตั้งไว้ในตอนต้นว่า “เลือกใครดีเป็นผู้ว่าฯกทม.” แล้วหรือยังถ้าผู้อ่านอยู่ในจำนวนประมาณ 26% ที่ตอบผู้สำรวจความเห็นว่า “ยังไม่ตัดสินใจ” ก็ขอให้ตอบคำถามเอาเองก็แล้วกัน ถ้าบทความนี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ก็ขอให้ถือเป็นอานิสงส์ต่อการเมืองกรุงเทพฯ ของเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี