เมื่อรัฐบาลได้ประกาศให้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 เมื่อก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้มีการคาดการณ์กันจากหลายฝ่ายว่า หลังสงกรานต์ผ่านพ้นไป จำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่าตัว ซึ่งหมายความว่า จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ ที่ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ระดับเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์ประมาณ 25,000 ราย จะเพิ่มขึ้นเป็น 5-6 หมื่นรายต่อวัน
แต่เป็นที่น่ายินดีว่าเทศกาลสงกรานต์ได้ผ่านพ้นมากว่า 1 สัปดาห์แล้ว ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงอยู่ที่ระดับ 20,000 รายต่อวัน ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตในแต่ละวันใกล้เคียงตัวเลข 130 รายก็ตาม ก็เป็นตัวเลขที่เกิดจากการสะสมของผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในช่วงที่ผ่านมา จึงไม่น่ากังวลนัก และเชื่อว่าหากในระยะเวลาอีก 1 สัปดาห์จากนี้ไป ตัวเลขเฉลี่ยของผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันไม่เพิ่มขึ้น ย่อมจะเป็นสัญญาณที่ดีที่จะบอกว่าการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยกำลังลดลงมาสู่จุดต่ำสุดตามที่ควรจะเป็นแล้ว รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในแต่ละวัน ก็จะลดน้อยลงตามลำดับด้วย
จากตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. นำมาเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อประกอบกับจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนในประเทศไทย ซึ่งในภาพรวมมีผู้ได้รับการฉีดครบตามเกณฑ์มาตรฐานแล้วเกินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และยังมีผู้ที่ทยอยเข้ารับการฉีดทั้งเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 อย่างต่อเนื่อง รวมกันใกล้2 แสนรายต่อวัน จึงทำให้มีการตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการเกือบทั้งหมดในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดนี้ซึ่งเมื่อข่าวนี้ปรากฏออกไป ก็ทำให้เกิดความชื่นชมยินดีจากหลายๆ ฝ่าย ที่ต่างก็รอวันนี้มานานพอสมควร
โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบธุรกิจในเกือบทุกด้าน และส่วนที่สร้างรายได้ให้กับประเทศมากที่สุดอย่างหนึ่งคืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งกระชุ่มกระชวยขึ้นมาโดยทันที โดยเฉพาะเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจตลอดจนการงานทุกประเภท ที่ย่อมมีผลดียิ่งต่อการสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งรายได้นี้จะกระจายไปในหลายภาคส่วน และไปสู่ผู้คนในทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ด้วย
ในส่วนของการควบคุมและป้องกันการระบาดนั้น เนื่องจากภาครัฐได้มั่นใจในระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่ก็เข้าใจมากขึ้น ว่า หากตัวเองเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ และไม่ได้เป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง คืออายุต่ำกว่า 60 ปี และไม่เป็นโรคเรื้อรังในกลุ่มที่เรียกว่า 608 หากมีการติดเชื้อ ก็อาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ขณะนี้ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดเชื้อจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ซึ่งปัจจุบันจะใช้เป็นชุดตรวจหลักในการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยติดเชื้อหรือไม่ ตัดสินใจเมื่อได้รับคำแนะนำจากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่เข้าไปเพื่อปรึกษาด้านการรักษาในรูปแบบของ Home Isolation หรือการกักตัวเองที่บ้าน หรือแบบผู้ป่วยนอกที่เรียกว่าเจอแจกจบเป็นส่วนใหญ่ เพราะสะดวกในการดำเนินชีวิตมากกว่า และอาการที่เกิดขึ้นก็มักจะหายไปได้ในระยะเวลาอันสั้น
จากข้อมูลที่เกิดจากการติดตามรักษาผู้ป่วย ที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสีเขียวซึ่งถือว่าไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยนั้น ไม่ว่าจะรักษาในรูปแบบใด คือ เจอแจกจบ, Home Isolation, Hotel Isolation หรือ Hospitel ก็พบว่า อาการของผู้ป่วยเกือบทั้งหมด กลับเป็นปกติโดยอาจจะเหลืออาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในระยะเวลาไม่เกิน 5 วัน จึงเป็นที่มาที่ไปของการกำหนดมาตรการของภาครัฐในการกักตัวเพื่อรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมทั้งกลุ่มผู้เสี่ยงสูง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง แต่ยังไม่มีอาการ ให้เข้าสู่มาตรการกักตัวตามข้อกำหนดใหม่ จากเดิมซึ่งจะต้องกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และสังเกตอาการอีก 3 วัน หรือที่เรียกว่า 7+3 เปลี่ยนเป็นการกักตัวเพียง 5 วัน แล้วทำการตรวจตัวเองด้วยชุดตรวจ ATK หากไม่พบว่าผิดปกติ ก็ให้เฝ้าสังเกตอาการของตัวเองเป็นระยะเวลาอีก 5 วัน หรือที่เรียกว่า 5+5 แทน โดยยังจะต้องยึดมั่นเรื่องการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ คือการใส่หน้ากากซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รวมทั้งการรักษาระยะห่าง การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ และไม่ทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
ในส่วนของการดำเนินมาตรการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ได้มีการผ่อนคลายมาตรการเดิมอย่างมาก โดยกำหนดแต่เพียงว่า นักท่องเที่ยวทุกคนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับ Thailand Pass คือการแสดงประวัติการฉีดวัคซีน รวมทั้งวงเงินประกันสุขภาพ ซึ่งได้ลดวงเงินเหลือเพียง 10,000 ยูเอสดอลลาร์เท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนตัวใดสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องมีการตรวจ RT-PCR อีกต่อไปเป็นการยกเลิกแนวทางที่เรียกว่า Test and Go เพียงมีข้อแนะนำว่า เมื่อถึงประเทศไทยก็เดินทางท่องเที่ยวได้เลย และระหว่างพำนักอยู่ในประเทศไทยให้ตรวจ ATK ด้วยตัวเองเป็นระยะ เพื่อแสดงว่าไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้นส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่มีประวัติการฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบนั้น ต้องมีผลการตรวจ RT-PCR ซึ่งแสดงว่าไม่ติดเชื้อ ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย
และยังต้องเข้าสู่กระบวนการ alternative quarantine โดยเข้าพักในโรงแรมหรือที่พักที่จองไว้ 5 วัน แล้วตรวจ RT-PCR หากไม่มีการติดเชื้อ ก็สามารถจะเริ่มเดินทางท่องเที่ยวได้ โดยให้มีการตรวจ ATK ด้วยตนเองเป็นระยะ ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวรายใดตรวจพบว่ามีการติดเชื้อระหว่างอยู่ในประเทศไทย ก็ให้เข้าสู่กระบวนการรักษาในโรงพยาบาลตามปกติ โดยใช้วงเงินประกันสุขภาพที่มีอยู่
นอกจากนี้ภาครัฐยังได้มีการปลดล็อกพื้นที่สีแดง ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่มีการระบาดมากและต้องควบคุมเข้มงวดทั้งหมด โดยจะมีเพียงพื้นที่สีฟ้าและสีเหลืองเท่านั้น โดยมีพื้นที่สีเหลืองซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง 65 จังหวัด ซึ่งยังคงไว้ซึ่งมาตรการบางอย่าง แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ และพื้นที่สีฟ้า 12 จังหวัด คือพื้นที่ที่ส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยว และผ่อนคลายมาตรการทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้จนถึงเวลา 24.00 น. เพียงแต่ว่ายังไม่มีการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงประเภทผับและบาร์เท่านั้น ซึ่งมาตรการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป
รัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใย ต่อจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งยังมีอยู่เป็นจำนวนพอสมควรในแต่ละวัน จึงได้จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหายาที่จะใช้ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการหนัก โดยขณะนี้ได้มีการสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์เข้ามาประมาณ 50,000 โดส โดยยาดังกล่าวได้เข้ามาถึงประเทศไทยและผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เริ่มจ่ายให้กับโรงพยาบาลเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการระดับสีเหลืองขึ้นไป
โดยกำหนดให้ใช้ยานี้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่นซึ่งควบคุมอาการไม่ได้ มีอาการที่ทำให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ และเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบ 3 เข็ม ซึ่งจากผลการวิจัยการใช้ยาตัวนี้ในต่างประเทศ พบว่าจะลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้มากกว่า 50% จึงทำให้เชื่อได้ว่ายาตัวนี้จะช่วยให้ผู้ที่ป่วยที่มีอาการหนักที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว และได้รับการรักษาด้วยยาตัวนี้ จะหายเป็นปกติได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง
ในส่วนของวัคซีนนั้น ต้องถือว่าประเทศไทยของเรา มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ หลากหลายชนิดของวิธีการผลิตและมีจำนวนมากเพียงพอ จากการเริ่มต้นด้วยวัคซีนเชื้อตายซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ต่อเนื่องด้วยวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์แอสตราเซเนกา และตามมาด้วยวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ และโมเดอร์นาซึ่งภาคเอกชนเป็นผู้นำเข้าผ่านองค์การเภสัชกรรม
เมื่อ 2 วันที่ผ่านมานี้มีข่าวว่า ประเทศอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนได้หลายชนิดเช่นเดียวกัน จะบริจาควัคซีนชนิดที่เรียกว่าโปรตีนซับยูนิต อันเป็นวัคซีนที่เชื่อว่ามีความปลอดภัยสูง ซึ่งน่าจะมีประชาชนบางส่วนเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว เช่น โนวาแวกซ์ แต่ที่อินเดียจะบริจาคให้นี้ ใช้ชื่อว่าโควาแวกซ์ เป็นจำนวน 2 แสนโดส ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะได้นำวัคซีนตัวนี้ มาใช้ในผู้ที่มีประวัติการแพ้วัคซีนชนิดอื่น ถือเป็นวัคซีนทางเลือกอีกตัวหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว
ถึงแม้ว่าการจัดอันดับของการระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกในขณะนี้ ประเทศไทยจะยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ คือประมาณลำดับที่ 9 แต่หากดูจากข้อมูลต่างๆ ด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียด และแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะในเรื่องของการป้องกันโรค ด้วยการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างเพียงพอ การจัดระบบการดูแลรักษาที่ดีเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับนานาชาติ
รวมทั้งการกำหนดมาตรการต่างๆ ในการควบคุมป้องกันโรค ตลอดจนความมีวินัยและการเชื่อฟังของประชาชนในการปฏิบัติตัวตามนโยบายและกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนดนั้น จึงทำให้เชื่อได้ว่าสถานะการระบาดของโรคนี้จะลงสู่จุดต่ำสุดในอีกไม่นานนัก ซึ่งหากดูจากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันที่มีแนวโน้มว่าเริ่มลดลงเรื่อยๆ และจำนวนผู้เสียชีวิตซึ่งจะลดตามลงมาเป็นสัดส่วนนั้น จนจะเข้าใกล้ตัวเลขของระดับการเสียชีวิตที่น้อยกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานว่าโรคนี้เป็นโรคที่ปลอดภัย ซึ่งหากตัวเลขเหล่านี้ ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในแนวโน้มที่ดีขึ้นในระยะ 1 ถึง 2 สัปดาห์นี้นั้น การที่กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ณ วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนควรร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้าครับ
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี