เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศตามแนวทางของรัฐบาลปัจจุบัน ผลักดันมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสวมบทบาทหัวหน้า คสช.ด้วย
การผลิตอุตสาหกรรมไฮเทค เทคโนโลยีทันสมัย เกษตรกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เมืองการบิน รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน มอเตอร์เวย์ ฯลฯ มุ่งจะให้เป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับไปเติบโตในอัตราสูงกว่าปัจจุบันให้ได้
หากสำเร็จ จะเป็นผลงานโบแดง เป็นที่จดจำตลอดไปเหมือนสมัยอีสเทิร์นซีบอร์ด
หากล้มเหลว จะด้วยปัญหาการทุจริตหรือการตัดสินใจผิดพลาดเชิงนโยบบาย หรือเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ จนเสียการใหญ่ ก็จะกลายเป็นป้ายประจานรัฐบาลลุงตู่ไปชั่วลูกชั่วหลานเหมือนกัน
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
จนปัจจุบัน การส่งมอบพื้นที่โครงการก็ยังไม่เรียบร้อย และการพยายามแก้สัญญาร่วมลงทุนมูลค่าหลายแสนล้านบาท ก็ถูกจับตาว่าจะมีการเอื้อประโยชน์แก่เอกชน หรือไม่
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการสำคัญต่อ EEC
ที่ผ่านมา ได้เปิดประมูลให้เอกชนแข่งขันกันยื่นข้อเสนอเพื่อร่วมลงทุน โดยผนวกเอาการพัฒนาที่ดินรถไฟแปลงงาม ทั้งมักกะสันและศรีราชา ผู้ชนะประมูลคือกลุ่มซีพี(ปัจจุบัน คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด) โดยสัญญาจะจ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสันให้ร.ฟ.ท.ราว 5 หมื่นล้านบาทตลอดสัญญา 50 ปี และจะต้องเข้าบริหารแอร์พอร์ตลิงค์รวมทั้งรับภาระหนี้สินไปด้วย
โดยจะต้องจ่ายค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงค์ราวหมื่นล้านบาทในวันที่ 24 ต.ค. 2564 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้จ่ายตามสัญญา จะใช้วิธีวางมัดจำพันล้านบาท โดยมีการเจรจาอยู่ จนกระทั่งปัจจุบัน
ประเด็นเจรจาแก้สัญญาแก้ไขร่วมลงทุน ประการสำคัญที่ต้องจับตา เช่น การจ่ายเงินตามสัญญาเดิม ภาระดอกเบี้ย ค่าเสียโอกาส ความเป็นธรรมต่อผู้เกี่ยวข้อง ต่อผู้บริโภคและภาคเอกชนรายอื่นๆ ฯลฯ ปมเส้นทางโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินทับซ้อนพื้นที่โครงการรถไฟไทย-จีน สัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง, ปมปัญหาส่งมอบพื้นที่มักกะสันที่มีการอ้างว่ามีติดปัญหาทับซ้อนบึงเสือดำ จะมีผลต่อความล่าช้าของโครงการ และกระทบต่อเนื่องไปยังการพัฒนาและการลงทุนในพื้นที่ EEC อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระวังว่า การแก้สัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทำให้ภาครัฐได้รับเงินล่าช้าไปจากเดิม ย่อมเกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ เอื้อประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญา และอาจไม่เป็นธรรมต่อเอกชนรายอื่นๆ ที่เข้าร่วมประมูลแข่งขันก่อนหน้านี้
เคยมีบทเรียน กรณีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ จำคุก 6 ปี อดีตผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลปราบโกง) พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ คดีทุจริตโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มูลค่า 25,000 ล้านบาทคดีหมายเลขแดงที่ อท 236/2562 (ป.ป.ช. ยื่นฟ้องคดีเอง) โดยการก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงค์ เป็นโครงการที่มีข้อครหาเดิมตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ โครงการมูลค่า 2.5 หมื่นล้าน แต่เอกชนประมูลต่ำกว่าราคากลางหลักหมื่นบาท การก่อสร้างล่าช้า มีการขอขยายเวลาหลายครั้ง
กรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอดีตผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.และพวก มาตรา 157 เนื่องจากการไต่สวน พบว่า มีพฤติกรรมแก้ไขสัญญาในเอกสารประกวดราคาระหว่าง ร.ฟ.ท. กับบริษัทเอกชน เอื้อประโยชน์แก่เอกชน เป็นเหตุให้ ร.ฟ.ท.ได้รับความเสียหาย
ระบุพฤติการณ์ว่า มีการกระทำทุจริตร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน เพราะโครงการนี้ไม่มีการตรวจสอบวงเงินค่าธรรมเนียมตั้งแต่แรก ปรากฏว่า ผู้รับเหมาเอกชนได้เบิกจ่ายค่าธรรมเนียมการเงินไปแล้ว 1.6 พันล้านบาท แต่ในความเป็นจริง ค่าธรรมเนียมเงินกู้มีจำนวนเพียง 400 ล้านบาทเท่านั้น และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ที่ต้องจ่ายอีกเลย โดยส่วนต่างที่เกิดขึ้น 1.2 พันล้านบาทที่ร.ฟ.ท.ต้องรับผิดชอบจะไม่เกิดขึ้นถ้าทำสัญญาอย่างตรงไปตรงมา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าอดีตผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ผิด 157 ลงโทษจำคุก 6 ปี
2. การคัดเลือกเอกชนเข้ามาบริหารท่อน้ำ EEC ของธนารักษ์
ปัญหาการคัดเลือกเอกชน ในการจัดให้เช่า/บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก
โครงข่ายท่อน้ำนี้ ครอบคลุมพื้นที่ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง มีความสำคัญโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหลายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
เดิม บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด หรือ อีสท์ วอเตอร์ (กปภ.ถือหุ้น 40%) คือ ผู้รับผิดชอบบริหารท่อน้ำทั้งหมด ในกรอบระยะเวลาโครงการ 30 ปี หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 ถึง 31 ธันวาคม 2566 เป็นไปตามแนวทางมติ ครม. สมัยรัฐบาลอานันท์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพในการจัดการ ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่หากำไรสูงสุด ต้องคำนึงถึงพื้นที่เขตอุตสาหกรรม เป็นต้น
การบริหารจัดการและดูแลรักษาระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก มุ่งตอบสนองความต้องการใช้น้ำของกิจกรรมต่างๆและชุมชนอย่างเพียงพอและทันต่อการณ์ โดยบริหารจัดการเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงที่มีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคตะวันออก
ล่าสุด ปรากฏข่าวว่า กรมธนารักษ์นัดหมายเซ็นสัญญากับเอกชนรายใหม่ ในวันที่ 3 พ.ค.นี้
(1) ทำไมธนารักษ์ไม่รอคำพิพากษาคดี ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนแล้ว
ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาคดีหลักออกมาก่อนหมดสัญญาท่อน้ำสิ้นปี 2566 แน่นอน
(2) แม้ศาลปกครองจะไม่ได้คุ้มครองชั่วคราว
หากเซ็นสัญญาไปแล้วมีคำพิพากษาว่าการยกเลิกการคัดเลือกครั้งแรกที่อีสท์ วอเตอร์ได้คะแนนอันดับหนึ่งนั้นมิชอบ ฝ่ายอีสท์ วอเตอร์ก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าโง่
และถ้าธนารักษ์จะไปยกเลิกสัญญากับเอกชนภายหลัง เอกชนที่ได้เซ็นสัญญาไปแล้วก็ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าโง่อีกเช่นกัน
ฮ่วย!!! คำถาม คือ จะรีบเซ็นและเปิดทางให้มีความเสี่ยงค่าโง่ ไปเพื่ออะไร?
เปิดทางค่าโง่ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง
ทั้งๆ ที่สัญญาบริหารท่อน้ำอีอีซีเดิม จะสิ้นสุดปลายปี 2566 โน่น
(3) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ถ้าเร่งเซ็นสัญญากับเอกชนรายใหม่ไปแล้ว ต่อมาหากศาลปกครองมีคำพิพากษาออกมาเป็นไปตามคำฟ้องของอีสท์ วอเตอร์ ก็จะนำไปสู่ความเสียหาย ที่ไม่อาจจะชดเชยเยียวยาได้ขณะเดียวกันตนเตรียมจะไปยื่นข้อมูล ป.ป.ช.เพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า เพื่อเร่งรัดให้ทางป.ป.ช.รีบไต่สวนสอบสวน และแจ้งคำวินิจฉัยออกมาโดยเร็ว เพื่อยับยั้งปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความเสียหายแก่ประเทศ
ส่วนกรณีที่กรมธนารักษ์เร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะอาจมองว่าหากทอดเวลาไปจะเกิดความเสียหายหรือเสียโอกาสแก่รัฐนั้น นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า จะไปเสียหายอะไร ณ วันนี้สัญญายังไม่หมด สัญญากับอีสท์วอเตอร์ ในส่วนของท่อส่งน้ำดอกกราย จะหมดสัญญาในปี 2566 ยังมีเวลาอีกเยอะ จะรอการวินิจฉัยของศาลฯ จนมีคำพิพากษา ซึ่งอาจจะต้องรอใช้ระยะเวลาถึงปี หรืออาจจะไล่ๆ กัน
“ถ้าศาลมีคำพิพากษา ผมคิดว่าภายในปี 2565 หรือช้าที่สุดน่าจะก่อนปี 2566 ก่อนที่อายุสัญญาของอีสท์ วอเตอร์ จะหมดลง ผมคิดว่าคำพิพากษาน่าจะออกมาแล้ว ซึ่งช่วงนั้น ถ้าสมมติว่าศาลพิพากษา ว่าเป็นการดำเนินการโดยชอบ เขาสามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้เลย หลังจากที่หมดสัญญาปี 2566 แต่ว่าถ้าศาลพิพากษา ทุกอย่างเป็นไปตามคำฟ้อง ก็จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของสัมปทานเดิม คือ อีสท์ วอเตอร์
ส่วนท่อส่งน้ำอีก 2 ท่อ ซึ่งไม่มีสัญญานั้น มันสามารถไปดำเนินการได้ในเวลาเดียวกัน ในปี 2566 ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ณ วันนี้ ทุกอย่างดูเร่งรีบ ลุกลี้ลุกลน ดูผิดสังเกต และโดยอำนาจของอธิบดีฯ สามารถระงับยับยั้งไว้ก่อนได้ เพราะสัญญายังไม่หมด คือ ถ้าสัญญาจะหมดภายในเดือนหน้า ยังพอเข้าใจได้ว่าจะต้องเร่งรีบ ตรงข้าม ณ วันนี้ การประมูลทุกอย่างเรียบร้อยไปหมดแล้ว จะเสียโอกาสอะไร รอเซ็นสัญญาเฉยๆ เพียงแต่รอให้มีคำพิพากษาศาลออกมา แล้วค่อยไปเซ็นสัญญามันก็ไม่ดีกว่าหรือ” - นายศรีสุวรรณ จรรยา
(4) กรมธนารักษ์ ได้เรียกคืนท่อน้ำ 2 โครงการจากอีสท์ วอเตอร์ฯ ได้แก่ โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ- แหลมฉบัง (ระยะที่ 2 ) เพื่อเตรียมจะนำไปมอบให้เอกชนรายใหม่เข้ามาบริหาร ส่วนท่อน้ำอื่นๆ (รวมทั้งท่อส่วนที่อีสท์ วอเตอร์ลงทุนเองส่วนใหญ่) ยังเป็นอีสท์ วอเตอร์ฯ บริหารต่อไป
โครงการท่อน้ำที่ถูกเรียกส่งมอบคืน ระยะทาง 135.9 กิโลเมตร ถือเป็นท่อน้ำหลัก เนื่องจากจะทำให้ระบบการส่งน้ำสามารถครอบคลุมพื้นที่ ดอกกราย-มาบตาพุด-สัตหีบ,หนองค้อ-แหลมฉบัง, หนองปลาไหล-หนองค้อ และ หนองค้อ-แหลมฉบัง โดยเมื่อนำมาเชื่อมกับท่อน้ำระยะทาง 355.9 กิโลเมตร ที่บริษัทอีสท์วอเตอร์ลงทุนก่อสร้างเอง
ลำพังท่อน้ำสองโครงการที่เรียกคืนไป ก็ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้เพียงพอ
แต่แน่นอนว่า จะกระทบการบริหารจัดการท่อน้ำทั้งหมดที่อยู่ในการดูแลของอีสท์ วอเตอร์ด้วย
เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพและเอกภาพในการบริหารจัดการโครงข่ายท่อน้ำ ขัดแนวทางตามมติครม.เดิมหรือไม่ จะเกิดปัญหาการจัดการน้ำตามมาหรือไม่?
ทั้งหมด จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ค่าเช่าท่อ” ที่ธนารักษ์จะได้จากเอกชนรายใหม่
แต่เรื่องประสิทธิภาพและความเพียงพอของน้ำที่จะต้องจัดการให้พื้นที่ EEC มีมูลค่ามากกว่า “ค่าเช่าท่อ” ที่ธนารักษ์นำมาใช้กล่าวอ้างมากมายมหาศาลนักเกี่ยวพันกับทั้งเรื่องการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และชีวิตพื้นฐานของประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด
สรุป นี่คือ 2 โครงการใหญ่ที่มีผลต่อเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยตรง
จะสำเร็จ หรือล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องของโชคดวง
แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารจะกล้าตัดสินใจ เพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ มิใช่ปล่อยให้มีการดำเนินการกันเองในระดับโครงการย่อย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อโครงการหลักที่มีมูลค่านับล้านล้านบาท
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี