เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับว่าขณะนี้เราได้ผ่านงานเทศกาลสงกรานต์มาแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายวิตกกังวลว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของโรคโควิด-19 จะเพิ่มจำนวนกลับขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีการคาดคะเนไว้ เนื่องจากตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนอยู่ที่ระดับ 12,000 รายต่อวันแล้ว จากที่ก่อนหน้าเทศกาลสงกรานต์ยังอยู่ที่ระดับ 25,000 ราย ซึ่งทำให้คาดการณ์ได้ว่าการระบาดของโรคนี้ได้เริ่มลดลงมาสู่จุดต่ำสุดแล้วอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าเมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นอย่างแน่นอน
สำหรับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19ทั่วโลก ณ ขณะนี้พบว่ามีผู้ป่วยเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 512 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 6.2 ล้านราย ประเทศที่มีผู้ป่วยสูงสุดคือสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยแล้วมากกว่า 82 ล้านราย รองลงมาคือประเทศอินเดียและบราซิลซึ่งมีผู้ป่วยมากกว่า 43 ล้านรายและ 30 ล้านรายตามลำดับ ส่วนในประเทศไทยนั้นมียอดผู้ป่วยสะสมมากกว่า 4.2 ล้านราย และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 28,000 ราย
แน่นอนว่าการระบาดซึ่งลดลงทั่วโลกในขณะนี้นั้น เป็นผลมาจากความรุนแรงของโรคนี้จากเชื้อโอมิครอนได้ลดน้อยลง ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมชาติของเชื้อไวรัสมาช่วยชาวโลกก็ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือทำให้สถิติต่างๆ เกี่ยวกับการระบาดของโรคนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นผลมาจากจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนทั่วทั้งโลกซึ่งมีมากขึ้นทุกขณะ โดยมีวัคซีนที่ได้รับการแจกจ่ายไปแล้วมากกว่า 1.16 หมื่นล้านโดสและมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้วมากกว่า 4.5 พันล้านโดส หรือคิดเป็น 59 เปอร์เซ็นต์เศษของประชากรทั้งโลก หากจำแนกตามประเทศ จะพบว่าประเทศจีนมีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้ว 1.25 พันล้านคน หรือ 88.3 เปอร์เซ็นต์ ประเทศอินเดีย 855 ล้านคน หรือ 62.0 เปอร์เซ็นต์ และประเทศสหรัฐอเมริกา 220 ล้านคน หรือ 66.6 เปอร์เซ็นต์
ส่วนประเทศไทยมีประชาชนได้รับการฉีดไปแล้วรวม 133 ล้านโดส เป็นการฉีดครบตามเกณฑ์แล้วมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยฉีดเข็มที่ 2 แล้วมากกว่า 51 ล้านโดส และเข็มที่ 3 แล้วมากกว่า 25 ล้านโดส ซึ่งถือว่ามีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนรวมกันแล้วในระดับที่เชื่อว่าจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่เริ่มลดลงในแต่ละวัน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมถึงความมีระเบียบและปฏิบัติตามกติกาสังคมในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ของคนไทยเกือบทั้งหมดด้วยการสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างระหว่างคน และล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังต้องปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ
ตัวเลขจำนวนของผู้ได้รับการฉีดวัคซีนในประเทศไทยนั้นได้รวมตัวเลขของทุกกลุ่มซึ่งเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการฉีด โดยนับรวมทั้งในกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุเกิน 60 ปี กลุ่มผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว 608 กลุ่มประชาชนทั่วไป รวมทั้งกลุ่มเยาวชน โดยเริ่มต้นในเยาวชน อายุ 12-17 ปีก่อน แล้วต่อมาก็ให้ฉีดได้ในเยาวชนอายุ 5-11 ปี
หากแยกเฉพาะกลุ่มเยาวชนนี้ออกมา ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ประมาณ 12 ล้านคนนั้น จะพบว่าขณะนี้ มีเยาวชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วเกินกว่า 60% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจากข้อมูลที่มีอยู่พบว่า เด็กหรือเยาวชนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนนั้นหากติดเชื้อโควิด จะมีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 2 ใน 10,000 ราย แต่หากได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ อัตราการเสียชีวิตจะลดลงเป็นพันเท่า ขณะนี้จึงมีการรณรงค์มากขึ้นเพื่อให้เยาวชนอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพราะจะเป็นการป้องกันการเจ็บป่วยที่มีอาการรุนแรงได้ เนื่องจากขณะนี้ใกล้ระยะเวลาที่จะให้มีการเปิดเรียนตามปกติแล้ว
สำหรับสูตรการฉีดวัคซีนที่ใช้ ในเยาวชนอายุตั้งแต่ 5 ถึง 17 ปีนั้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดไว้เป็นสูตรต่างๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่การฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จนถึงเข็มที่ 3 ซึ่งถือเป็นเข็มกระตุ้น ดังนี้
เด็กอายุ 5-6 ปี วัคซีนเข็มที่ 1 เป็นไฟเซอร์ฝาสีส้ม และเมื่อฉีดครบ 8 สัปดาห์ ให้ฉีดเข็มที่ 2 ด้วยไฟเซอร์ฝาสีส้ม
เด็กอายุ 6-11 ปี วัคซีนเข็มที่ 1 เป็นไฟเซอร์ฝาสีส้ม และเมื่อฉีดครบ 8 สัปดาห์ ให้ฉีดเข็มที่ 2 ด้วยไฟเซอร์ฝาสีส้มเช่นกัน หรือหากวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เมื่อครบ 4 สัปดาห์ให้ฉีดเข็มที่ 2 ด้วยไฟเซอร์ฝาสีส้ม
เด็กอายุ 12-17 ปี วัคซีนเข็มที่ 1 เป็นไฟเซอร์ฝาสีม่วง หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์ ฉีดซ้ำด้วยไฟเซอร์ฝาสีม่วง และหลังจากนั้น 4-6 เดือน ให้ฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ฝาสีม่วง
เด็กอายุ 6-17 ปี วัคซีนเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม เมื่อครบ 4 สัปดาห์ ให้ฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์มเป็นเข็มที่ 2 หลังจากนั้น 4 สัปดาห์ ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ฝาสีส้มถ้าอายุ 6-11 ปี และไฟเซอร์ฝาสีม่วงถ้าอายุ 12-17 ปี
มีข้อมูลว่าการใช้วัคซีนสูตรไขว้ในเด็กนั้น สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้ไม่น้อยไปกว่าการใช้วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเพียงอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้คือสูตรที่ประกาศให้ใช้เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสูตรที่ได้มีการติดตามผลการใช้แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนในช่วงอายุดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และมีความปลอดภัยสูง จึงเชื่อว่าจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองนำเด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากยิ่งขึ้น
อาจจะมีคำถามว่า วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเออีกตัวหนึ่งคือโมเดอร์นา ซึ่งภาคเอกชนร่วมกับองค์การเภสัชกรรม ได้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยซึ่งขณะนี้ในส่วนของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และสภากาชาด ก็ได้นำมาใช้แล้วเช่นกันนั้นจะสามารถฉีดในเด็กได้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้องค์การอาหารและยาของประเทศไทยได้มีการขึ้นทะเบียนให้สามารถใช้วัคซีนโมเดอร์นาในเด็กอายุตั้งแต่ 12-17 ปีแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2564
แต่เนื่องจากภาครัฐยังไม่ได้จัดหาเข้ามาเอง ถึงอาจจะยังไม่มีการใช้ฉีดในเด็กอย่างแพร่หลาย ซึ่งโดยความจริงแล้วจากข้อมูลที่มีอยู่ ก็พบว่าวัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพที่ดีเช่นเดียวกัน และสามารถจะฉีดในเด็กอายุดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์ และเมื่อไม่นานนี้เองประเทศออสเตรเลียได้อนุมัติให้สามารถใช้วัคซีนตัวนี้ฉีดได้เด็กอายุตั้งแต่ 6-11 ปีได้ โดยใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ คือ50 ไมโครกรัม ฉีด 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์ เช่นเดียวกับในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งก็อนุมัติให้ใช้วัคซีนตัวนี้ฉีดให้เด็กตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไปได้แล้วเช่นกัน และขณะนี้บริษัทโมเดอร์นาก็ได้ยื่นขออนุมัติต่อองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) เพื่อใช้วัคซีนโมเดอร์นาสำหรับเด็กทารกจนถึงอายุ 5 ปีแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา
หากประชาชนทุกกลุ่มและทุกช่วงอายุ ที่อยู่ในเกณฑ์ของการเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นหรือเข็มบูสเตอร์ครบถ้วนเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และประชาชนบางส่วน ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 หรือที่เรียกกันว่าเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 ซึ่งขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งหมด ได้รับการฉีดเข็มที่ 4 ไปแล้วนั้น ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้การป้องกันโรคโควิด-19 ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และถึงแม้ติดเชื้อก็จะมีอาการไม่รุนแรงหรือเสียชีวิต ซึ่งจะทำให้อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคนี้ในประชากรไทยลดต่ำลงกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้ประเทศไทยสามารถจะประกาศการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเคยเป็นโรคระบาดร้ายแรงมาเป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ได้อย่างแน่นอน
มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถือได้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จมาด้วยดีแล้ว คือการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งก็เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นกัน และในอดีตโรคนี้ก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี ในแต่ละปีไปไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่อายุเกินกว่า 50 ปีขึ้นไป ที่อยู่ภายใต้ระบบบริการสุขภาพทุกสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ให้ได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งในปีนี้ ได้มีการประกาศจากทุกระบบแล้วว่า ประชาชนตามสิทธิ์ที่อยู่ในเกณฑ์ตามที่กล่าวไว้ สามารถจะเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป โดยกำหนดระยะเวลาของโครงการนี้ไว้ 4 เดือน คือถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนที่จะมีการระบาดของโรคนี้มากที่สุดในแต่ละปี จึงขอเชิญชวนประชาชนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ด้วย และขณะนี้ก็มีข้อมูลแล้วว่า การฉีดวัคซีนชนิดนี้ในวันเดียวกันกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลเสียแต่อย่างใด
รัฐบาลได้ดูแลด้านสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างดี โดยได้จัดระบบบริการสาธารณสุขที่ได้รับการชื่นชมอย่างมากในระดับนานาชาติ ทั้งในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพภายหลังการเจ็บป่วย โดยนอกจากคนไทยทั้งหมดแล้ว ชาวต่างชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังได้รับสิทธิดังกล่าวด้วย โดยผ่านวิธีการจัดการในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นจึงขอเรียนว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้รับสิทธิ์นี้แล้ว เมื่อถึงช่วงระยะเวลาที่จะต้องไปใช้สิทธิ์ ก็ขอให้ได้ไปใช้ โดยใช้ให้ถูกต้องตามที่ได้มีข้อกำหนด นั่นหมายความว่า ให้รู้จักหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติตามสิทธิ์นั้นด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี