ข่าวดีประเทศไทย มีมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นไปตามที่นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามจะสื่อสารบอกกล่าวพี่น้องคนไทยว่า กำลังจะมีข่าวดี สถานการณ์กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ขอให้เป็นกำลังใจกันและกัน รัฐบาลพยายามโอบอุ้มประเทศไทยฝ่าวิกฤตโลก ทั้งโควิดและผลกระทบจากกรณีรัสเซีย-ยูเครน
1. เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยด้านการท่องเที่ยว กำลังจะกลับมาติดเครื่อง หลังเปิดประเทศ
จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลธุรกิจในพื้นที่ 4 จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมภาคใต้ ประกอบด้วย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา พบว่า ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 2565 มีผู้ประกอบการได้จดทะเบียน “จัดตั้งนิติบุคคลใหม่” เพิ่มขึ้น 1,216 ราย หรือ 51.62% แบ่งเป็น
จ.ภูเก็ต 613 ราย เพิ่มขึ้น 82% ทุน 1,666.90 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 102%
จ.สุราษฎร์ธานี 450 ราย เพิ่มขึ้น 35% ทุน 977.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90%
จ.กระบี่ 110 ราย เพิ่มขึ้น 17% ทุน 178.21 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 64%
จ.พังงา 43 ราย เพิ่มขึ้น 16% ทุน 66.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%
ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุดธุรกิจสปา และธุรกิจที่ให้บริการสำรองการท่องเที่ยว ก็เติบโตขึ้นเช่นกันนับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและประเทศอย่างชัดเจน
2. เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย ด้านการส่งออก ติดเครื่องแล้ว
ภาวะการค้าระหว่างประเทศ เดือนมีนาคม 2565 และไตรมาสแรกของปี 2565 ปรากฏว่า
ตัวเลขการส่งออกไตรมาสแรกของปี’65 ม.ค.-มี.ค. +14.9% มีมูลค่า 2,401,444 ล้านบาท หรือเป็นบวกประมาณ 15% มูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท
สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนมีนาคม 65 +19.5% มีมูลค่ารวม 922,313 ล้านบาท ถือว่ามูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออกตั้งแต่ปี 2534
ดุลการค้า +34,960 ล้านบาท สินค้าสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วย 1.สินค้าการเกษตร 2.สินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และ3.สินค้าอุตสาหกรรม
การส่งออกหมวดสินค้าเกษตร +3.3% มีมูลค่า 69,310 ล้านบาท สินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว+53.9% ไก่แปรรูป +6.6% มันสำปะหลัง +6.3%
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร +27.7% มีมูลค่ารวม 69,153 ล้านบาท รายการสำคัญ เช่น น้ำมันพืช +350% โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม +768.3% น้ำตาลทราย +204.3% อาหารสัตว์เลี้ยง +15.5% เครื่องปรุงรส +9.7% อาหารทะเลกระป๋องและอาหารทะเลแปรรูป +2%
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม +20.6% มีมูลค่า 755,312 ล้านบาท รายการสำคัญ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า +71.9% โทรสาร โทรศัพท์ +37.9% อัญมณีและเครื่องประดับ +37.1% คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ +36.9%
3. เศรษฐกิจไทยห่างไกลกับคำว่าเสี่ยงล้มละลาย
แพตริเซีย มงคลวนิช ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เผยว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2565 บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
Moody’s ชี้ว่า ประเทศไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้
นอกจากนี้ Moody’s คาดว่า ในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นจึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ
ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa Peers) โดย Moody’s คาดว่า ช่วง 2-3 ปีข้างหน้ารัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง โดยหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ปี 2565-2567 มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 52-54 ของ GDP ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวส่งผลทำให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง
นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมากประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
ส่วนธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ในปี 2565 และขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2566 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2-3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565
มาตรการของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น เราไม่ทิ้งกัน เราชนะ การเพิ่มกำลังซื้อผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่ง เป็นต้น ช่วยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี และมีส่วนทำให้สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ สะท้อนจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในปี 2563 มีค่าอยู่ที่ 0.35 มิได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน COVID-19 และลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
หนี้ครัวเรือน ณ สิ้นสุด ไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 90.1 ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของ GDP ที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงในอนาคต
ที่สำคัญ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 34.5) เพื่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 18.1) และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน (ร้อยละ 12.4) ในขณะที่หนี้ครัวเรือน เพื่อการ
อุปโภค-บริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ร้อยละ 27.8 ดังนั้นหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จึงเป็นหนี้ ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป
ข่าวดีประเทศไทย สัญญาณดี มาต่อเนื่อง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี