เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้ ประธานาธิบดี ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ตัดสินใจสั่งการการเคลื่อนทัพของรัสเซียเข้าสู่ยูเครน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะได้รับการต่อต้านจากฝ่ายตะวันตก นำโดย สหรัฐอเมริกาอย่างมากมายเป็นแน่แท้ ซึ่งเมื่อรัสเซียถูกคว่ำบาตรอย่างใหญ่หลวง ทั้งโดยวิธีการ และความหนักหน่วงอย่างที่โลกไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน ประธานาธิบดี ปูติน เองกลับดูไม่สะทกสะท้านใจแถมยังทำการโจมตี (โดยเฉพาะทางอากาศ) ไปทั่วยูเครน แล้วก็ยังพยายามเจาะจุดอ่อนแนวรบป้องกันของฝ่ายยูเครนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังได้กล่าวเตือนบรรดาประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนยูเครนให้ทำการสู้รบกับรัสเซียแบบตัวแทน (proxy) ว่ารัสเซียเองจะทำการโจมตีทำลายแหล่งคลังแสงอาวุธ ยุทโธปกรณ์และขบวนการลำเลียงขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกได้ทยอยส่งมาให้ยูเครนอย่างเต็มที่ โดยถือเป็นสิทธิอันชอบธรรม ซึ่งก็มีนัยของการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกภายในกรอบขององค์การนาโต และสหภาพยุโรป กับฝ่ายรัสเซียแบบทางตรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การขยายแนวรบและจำนวนผู้เข้าร่วมรบก็ได้ และประธานาธิบดี ปูติน ก็ได้กล่าวเชิงกำชับ ข่มขู่ว่า ถึงจุดหนึ่งก็คงจะหลีกเลี่ยงการมิใช้อาวุธนิวเคลียร์มิได้
แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะตัวประธานาธิบดี ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เอง ก็ดูไม่สะทกสะท้านกับการแสดงท่าทีแข็งกร้าวของตัวประธานาธิบดี ปูติน ดังกล่าวโดยยังคงมุ่งหารูปแบบและวิธีการคว่ำบาตรฝ่ายรัสเซียแบบใหม่ๆ มาเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละแม้กระทั่งการห้ามมิให้นักกีฬารัสเซียเข้าร่วมในการแข่งขันระดับนานาชาติต่างๆ ทั้งที่นักกีฬาเหล่านี้ต่างมิได้มีส่วนรู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้าและการสู้รบแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ทางฝ่ายประธานาธิบดี ไบเดน ก็ยังพยายามจัดหางบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อยูเครน ทั้งเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และการดูแลทางด้านมนุษยธรรม และยังได้เพิ่มงบประมาณเพื่อการช่วยเหลือทางด้านการทหาร และความมั่นคง ทั้งในรูปแบบของการข่าวกรอง หรือการจารกรรมด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีสื่อสารทันสมัย เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายกองทัพรัสเซียให้กับยูเครน เพื่อเสริมสมรรถนะการป้องกันตนเองและใฝ่หาจุดอ่อนของฝ่ายกองทัพรัสเซียผู้รุกราน ไปจนถึงการเพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยล่าสุดเพื่อการทำลายล้างรถถังและฐานจรวดและฐานปืนใหญ่ต่างๆ ของฝ่ายรัสเซีย ซึ่งก็เท่ากับเป็นการทวีความเข้มข้นและรุนแรงของการสู้รบระหว่างกัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่าฝ่ายสหรัฐฯ โดยการนำพาของประธานาธิบดี ไบเดน ได้ประกาศตนเป็นศัตรูโดยตรงกับฝ่ายรัสเซียมากยิ่งขึ้น และเปิดเผย โดยสิ่งที่ยังขาดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นก็คือ การส่งทหารอเมริกันเข้าไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารยูเครน เพื่อรบราฆ่าฟันกับทหารรัสเซียให้ถึงที่สุด
นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดี ไบเดน ก็ยังกล่าวในทำนองที่จะพยายามทำทุกทางเพื่อให้ฝ่ายรัสเซียพังทลาย และขจัดปูตินออกจากตำแหน่งให้ได้ พร้อมกับการประณามว่าประธานาธิบดี ปูติน เป็นอาชญากรสงคราม ซึ่งก็ได้มีการโหมโรง และการสร้างวาทะอย่างใหญ่หลวง กว้างขวาง เกี่ยวกับความโหดร้ายทารุณของฝ่ายทหารรัสเซียต่อประชาชนพลเมืองของยูเครนที่มิได้มีส่วนในการสู้รบ แต่ถูกกระทำการอย่างโหดร้าย อย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งฝ่ายรัสเซียก็ได้โต้ตอบว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ และเป็นการสร้างเรื่อง (ข้อเท็จจริงก็จำเป็นที่จะต้องมีการสืบสวน สอบสวน กันต่อไปอย่างลึกซึ้ง จริงจัง)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดี ปูติน นั้นมีความบ้าบิ่น ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดในการที่จะบรรลุเป้าหมายของการสยบยูเครน ให้เลิกคิดอ่าน หรือเข้าไปอยู่กับฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกทั้งในกรอบขององค์การนาโตและสหภาพยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นการคุกคามความปลอดภัยของรัสเซียโดยตรง จากการที่ยูเครนจะกลายเป็นด่านหน้าให้กับฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก พุ่งตรงมาที่รัสเซีย ก็เรียกว่าประธานาธิบดี ปูติน ได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไปแบบถึงไหนถึงกัน
ในขณะเดียวกันทางประธานาธิบดี ไบเดน ก็ยังคงดื้อดึง เอาแต่คิดที่จะหาวิธีการเข้มข้น รุนแรง มาใช้เพิ่มเติม ในการคว่ำบาตร เพื่อตัดรัสเซียออกจากส่วนใหญ่ของความเป็นไปในโลกในทุกกรณี ควบคู่ขนานกันไปพร้อมๆ กัน ก็สนับสนุนยูเครนให้สู้รบอย่างยืดเยื้อ
ก็จัดได้ว่าฝ่ายรัสเซียดูบ้าบิ่น ขณะที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาก็ดูดื้อดึง โดยรูปการณ์ก็ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่าย สงครามสู้รบครั้งนี้มีทีท่าจะมีความยืดเยื้อ ยาวนาน ทั้งในแง่การใช้อาวุธ และแง่การใช้เศรษฐกิจการค้าเป็นเครื่องมือ และทั้งในแง่ของการใช้การโฆษณาชวนเชื่อบ่อนทำลายกันเป็นเครื่องมือ โลกก็ปั่นป่วนกันไปทั่วหน้า โดยเฉพาะในเรื่องผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันที่มีมูลค่าสูงขึ้น มีความจำกัดมากขึ้น และมีความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน โต๊ะเจรจาก็ยังจะดูว่างเปล่า สันติภาพก็ดูเลือนรางและห่างไกล ทั้งที่มันก็มีหัวข้อเรื่องหรือประเด็นที่สามารถจะนำไปสู่โต๊ะเจรจาได้ ถ้าบรรดาคู่กรณีโดยเฉพาะประธานาธิบดี ปูติน และประธานาธิบดี ไบเดน จะพึงมีสติ ไม่บ้าบิ่นและดื้อดึง ดึงดัน และเอาชนะต่อกันด้วยวิธีการที่รุนแรงแบบใครอยู่ใครไป ด้วยการเปิดการพูดจาและเจรจาหาข้อยุติแบบสันติวิธี ซึ่งหัวข้อหนึ่งที่น่าจะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นได้ก็คือ การใฝ่หาข้อออมชอมและปรองดองว่าด้วยสถานะของยูเครนจากต่อไปนี้ เช่นการเป็นประเทศเป็นกลางแบบสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับการรับรองโดยประชาคมโลก และมีการประกันความเป็นประเทศเอกราชที่มีความเป็นอธิปไตยของยูเครนโดยประชาคมโลก รวมไปถึงการลดอาวุธที่มีลักษณะของการเป็นอาวุธแบบรุกราน เพื่อเสริมสร้างความมั่นอกมั่นใจกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี ไบเดน และประธานาธิบดี ปูติน ว่าควรจะตั้งสติสักนิด ถอยหลังคนละสิบก้าว ให้มีการหยุดยิง แล้วกลับสู่โต๊ะเจรจา โลกก็จะได้หายใจได้ทั่วท้อง และเมื่อแก้ปัญหายูเครนตามแนวทางดังกล่าวได้แล้ว ก็จะเป็นเรื่องที่ประเทศยุโรปและประเทศยุโรปเอเชียกลางจะหาสูตรที่จะร่วมกันอยู่ได้อย่างไร เพื่อสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งร่วมกัน ซึ่งก็จะมีผลกระทบไปในเชิงบวกต่อโลกกว้างด้วย
ชาวยุโรปทั้งหมดก็มีพันธกรณีต่อชาวโลกเป็นอย่างมากที่จะยุติการสร้างปัญหา และมีบทบาทสำคัญในการจรรโลงการอยู่ร่วมกัน ก็จัดได้ว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติในระยะเวลา 500 ปีนั้นฝ่ายยุโรปเป็นตัวปัญหาของโลกเป็นสำคัญ เป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย การสู้รบ การแก่งแย่งชิงดีกันมาโดยตลอด ก็น่าจะถึงเวลาที่ยุโรปจะต้องทำตนให้เป็นผู้สร้างมากกว่าเป็นผู้ทำลายได้แล้ว
ส่วนสหรัฐอเมริกานั้น ก็คงต้องเปลี่ยนท่าทีจากการเผชิญหน้ากับฝ่ายรัสเซีย มาเป็นการใฝ่หาจุดร่วมมือ เพื่อเสถียรภาพของโลกทั้งมวล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี