ย่างเข้าเดือนพฤษภา เดือนแห่งการเมืองที่ท้าทายอนาคตรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ว่าจะก้าวผ่านได้หรือไม่ เพราะการเปิดสมัยประชุมสภาที่จะมีขึ้นปลายเดือนนี้ จะมีสิ่งที่รอพลเอกประยุทธ์อยู่ ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การผ่านพ.ร.บ.งบประมาณ และที่สำคัญคือประเด็นข้อถกเถียงทางกฎหมายกรณี นายกฯ 8 ปี ที่จะครบกำหนดสิงหาคมนี้ที่ล่าสุดรองนายกฯด้านกฎหมายก็ออกมาเผยแนวทาง ทั้งรายชื่อนายกฯรักษาการ ก่อนจะมาคัดนายกฯจากบัญชีเสนอชื่อนายกฯของสภาในชุดปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ผลจะเป็นเช่นนั้นเป็นเพียงถ้าหากเกิด จะเป็นอย่างไร ซึ่งปัญหาทุกอย่างเหล่านี้ จะเกิดขึ้นหลังวันเปิดประชุมสภา 23 พฤษภาคมนี้ แต่ก่อนหน้านั้น 1 วัน คือวันชี้ชะตาผู้ว่าฯกทม. ซึ่งอาจจะเป็นวันชี้กระแสนิยมพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน
พอจะใกล้ถึงวันเลือกตั้ง เราก็จะเริ่มเห็นผลจากการเลือกเดินกลยุทธ์ของแต่ละพรรคมากขึ้น
พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องยอมรับว่า ในบรรดาผู้สมัครทุกท่าน นายสุชัชวีร์ เป็นผู้สมัครที่เจอภาระหนักหนาที่สุด ก็ต้องลุ้นว่า นายสุชัชวีร์ จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคแชมป์เก่าผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้หรือไม่? นอกจากนี้ยังถาโถมด้วยข่าวต่างๆ ของพรรคตลอดสองสัปดาห์ที่สุ่มเสี่ยงที่กระทบอย่างหนักต่อกระแสความนิยม
พรรคก้าวไกล ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลเอง อย่างนายวิโรจน์ ก็ดูน่าจะได้คะแนนจากฐานเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่า การลาออกจากการเป็น สส. ของนายวิโรจน์เพื่อลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ในครั้งนี้จะคุ้มกันหรือไม่ ?แต่ถ้าถามถึงพรรค ต้องบอกว่าก้าวไกลได้ประโยชน์อย่างมากจากการลงสมัครของทีมผู้ว่าฯและทีมผู้สมัครสก.ชุดนี้ ที่เดินหาเสียงไปพร้อมกัน เป็นการสร้างฐานเครือข่ายท้องถิ่นในกทม.
เชื่อมโยงกับพรรคเพื่อเตรียมสู่การเลือกตั้งสส.พื้นที่กทม.ต้นปีหน้า ที่น่าจะเป็นพื้นที่ความหวังหลักของก้าวไกลรอบนี้
พรรคเพื่อไทย ไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯแต่ส่งผู้สมัครสก.
แม้ขณะนี้จะมีคนบอกว่าตัวเต็งที่สื่อต่างพากันพาดหัวนั่นคือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ แต่ในความเป็นจริงอิสระหรือไม่ และโอกาสที่จะได้เป็นจากโพลล์ต่างๆ จะคงเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเองส่งแต่สก.แต่ขาดหัวเรืออย่างผู้สมัครผู้ว่าฯจะถือเป็นจุดยากลำบากไหมเมื่อเทียบกับประชาธิปัตย์และก้าวไกล
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่านายชัชชาติเป็นศิษย์เก่าจากสำนักเพื่อไทย แต่การที่นายชัชชาติ ลงสมัครและหาเสียง ในนามของผู้สมัครอิสระ ไม่ได้มีชื่อหรือนามสกุลเพื่อไทยห้อยหัวพ้องท้ายสักนิด แม้กระแสของนายชัชชาติจะดี จนเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่จะคว้าเก้าอี้ผู้ว่าฯ
แต่แสงที่ส่องมายังนายชัชชาติก็ดูไม่ได้สาดส่องไปที่ผู้สมัคร สก. จากพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
ซึ่งแตกต่างกับพรรคประชาธิปัตย์และก้าวไกลที่ได้ส่งทั้งผู้สมัครผู้ว่าฯ และสก. ในนามพรรค ก็น่าจะยังพอช่วยเป็นแม่เหล็กช่วยดึงดูดเสียงซึ่งกันและกัน ให้บรรดาผู้สมัคร สก. จากสังกัดพรรคอยู่บ้าง แต่ สก. ผู้สมัครจากสังกัดพรรคเพื่อไทย
ต้องหาเสียงในรูปแบบที่ไร้ตัวช่วย ลงพื้นที่เพียงลำพัง
แม้จะมีคำว่า เพื่อไทยในนามที่ลง แต่หากมีผู้สมัครผู้ว่าฯ ของพรรคโดยตรงร่วมเดินหาเสียงด้วยน่าจะเป็นการดีกว่าสำหรับผู้สมัคร สก. สังกัดเพื่อไทยหรือไม่?
แต่อย่างน้อยที่สุดหากนายชัชชาติแพ้บนสังเวียน ก็ไม่น่าจะส่งผลเสียที่ร้ายแรงมาถึงพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ได้ส่งลงสมัครในนามของพรรคเพื่อไทย
แต่ฝั่งผู้สมัครสก.เพื่อไทยอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเพื่อไทย ส่ง สก. ครบทั้ง 50 เขต หากได้ฐานที่มั่นเกินครึ่งก็น่าจะปูทางไปสู่การชนะแบบแลนด์สไลด์ได้ไม่ยากนักหรือไม่? แต่หากสก.แพ้ อาจกระทบแน่นอนต่อฐานเสียงสส.ในเขตพื้นที่ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นการที่เพื่อไทยเลือกวิธีไม่มีการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคจึงนับว่าท้าทายอย่างมาก แน่นอนว่าหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ก็คงต้องมีการประเมินและปรับปรุงกลยุทธ์การหาเสียงของพรรคใหม่ เพื่อให้เพื่อไทยแลนด์สไลด์ตามที่ต้องการ
ซึ่งดูเผินๆ การตัดสินใจของเพื่อไทย ดูไม่ต่างจากพลังประชารัฐ แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย
แม้พรรคพลังประชารัฐจะเลือกที่จะไม่ส่งผู้ว่าฯในนามพรรคและส่งแต่ผู้สมัครสก.เช่นเดียวกับเพื่อไทย แต่การลงสมัครอิสระของอดีตผู้ว่าฯอัศวิน กลับส่งทีมลงสก.ด้วย งานนี้ผู้สมัครสก.พรรคพลังประชารัฐ จึงแบกความเสี่ยงมากกว่าฝั่งเพื่อไทย เพราะจะไปอิงกระแสนิยมของทีมอัศวินก็ไม่ได้และหากจะอิงกระแสนิยมนายกฯก็มีสิทธ์ิที่จะต้องไปแย่งหรือตัดคะแนนกันเองกับทีมผู้สมัครสก.ของอัศวิน
เรื่องนี้อาจต้องวิเคราะห์ไปถึงการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตจตุจักร – หลักสี่ แทน นายสิระ เจนจาคะ เมื่อต้นปีค่ายพลังประชารัฐ ก็เลือกที่จะส่งมาดามหลีลงแข่งขัน
แม้จะเป็นคู่สมรสของนายสิระ ซึ่งดูแล้วก็น่าจะพอเป็นแต้มต่อให้บ้าง เพราะน่าจะคุ้นเคยกับคนในพื้นที่มาหมาด ๆ แต่ก็ไม่สามารถชนะ และปักธงชัยในสนามเลือกตั้งเขต 9 ได้ รวมถึงผลคะแนนที่ออกมาก็โดนทั้งเพื่อไทยแชมป์สนาม และพรรคก้าวไกลทิ้งห่างอย่าไม่เห็นฝุ่น การส่งคนลงในนามพรรคแบบไร้หัวจึงนับเป็นประสบการณ์สำคัญของพลังประชารัฐ
ในช่วงเวลานั้นที่เพิ่งแพ้ทั้งในสนามกรุงเทพฯ เลือกตั้งซ่อมกรุงเทพฯ เขตจตุจักร - หลักสี่ รวมถึงในสนามภาคใต้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองเช่นนี้ การเดินเกมแต่ละก้าวจึงต้องมีความรอบคอบและคิดเป็นพิเศษ เพราะหากแพ้ในนามของพรรคพลังประชารัฐอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ จึงเห็นจากกรณีที่พรรคพลังประชารัฐเลือกที่จะไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมสส.ที่ราชบุรีวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เพียงวันเดียว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ายากที่ผู้สมัครสก.ของพรรคใดหรือผู้สมัครอิสระทีมใดจะได้คะแนนเสียงเกินครึ่งของสภากทม. ดังนั้นไม่ว่าใครจะได้มาเป็นผู้ว่าฯกทม.รอบนี้ งานหนักแน่นอน ที่จะต้องฟาดฟันหรือต่อรองกับสก.ที่มาจากหลากหลายพรรคหลากหลายทีม
แม้ศึกแห่งการตัดสินระหว่างพี่ใหญ่ฝ่ายรัฐบาลและพี่ใหญ่ฝ่ายค้านจะยังมาไม่ถึง แต่ถ้าวัดกันที่เสถียรภาพแล้วพรรคเพื่อไทยก็ยังดูเป็นต่อนิดๆ เพราะพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถหลีกหนีจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้เสียที
โครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐที่อ่อนไหวและไม่เข้าร่องเข้ารอย จนนำไปสู่การปรับโครงสร้างพรรค ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนับเป็นโรคที่แก้ไม่หายของพรรคพลังประชารัฐ และล่าสุดจากการที่ พลเอกวิชญ์ ผู้เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคได้ย้ายออกจากสังกัด เพื่อไปกุมบังเหียนที่พรรคเศรษฐกิจไทย จึงเป็นที่มาของการปรับทัพในครั้งนี้ได้มีการปรับทัพอีกครั้ง
ในครั้งนี้พลเอกประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นั่งเก้าอี้ประธาน
การแต่งตั้งรัฐมนตรีฯ กระทรวงยุติธรรมนั่งเก้าอี้ประธาน ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดเดานัก เพราะตำแหน่งนี้
เป็นหัวใจสำคัญที่จะบ่งบอกถึงแนวทางของพรรค ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ? เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมา ผู้นั่งเก้าอี้ประธานยุทธศาสตร์พรรคจะเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากพลเอกประวิตรเป็นพิเศษ และหากมองจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคนปัจจุบันของพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เลขาธิการพรรคจะชื่อสมศักดิ์
แม้พรรคจะได้ประธานยุทธศาสตร์คนใหม่แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นายสมศักดิ์ จะกอบกู้ศรัทธาและชื่อเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ให้กลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมได้ เพราะในขณะนี้ต้องยอมรับว่า พรรคพลังประชารัฐดูจะอ่อนแรงลงกว่าเดิม ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่พรรคต้องสูญเสียขุนพลตัวหลักของพรรค ทั้งที่เป็นอุบัติเหตุทางการเมือง หรือจากความตั้งใจก็ตาม
โครงสร้างภายในนับเป็นแผลที่รักษาไม่หายของพรรคพลังประชารัฐ และในขณะที่พรรคพลังประชารัฐดูอ่อนแรงลง พรรคคู่แข่งทางการเมืองหลายพรรคกลับแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นหากการกอบกู้ชื่อเสียงเป็นโจทย์หิน แนวคิดในการสร้างพรรคมาเพื่อสำรองจึงอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่กลับมาวนเวียนในหัวของพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรอีกครั้ง
แต่อะไรๆ ก็ดูไม่เป็นใจไปหมด พรรครวมไทยสร้างชาติที่น่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วในเวลานี้ กลับเจอกับสถานการณ์ที่ยังคงมีคำถามมากมายว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อนายเสกสกล ผู้ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็นผู้สวมวิญญาณนักปั้นมือทอง ให้พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นรูปเป็นร่าง กลับต้องมีเหตุให้ต้องพักไปเสียก่อนเพราะเจอเรื่องหวยอลเวงที่ตามมาหลอกหลอน เพื่อไม่ให้พรรคที่กำลังก่อร่างสร้างตัวต้องด่างพร้อย นายแรมโบ้จึงต้องตัดสินใจยื่นลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ
ก็น่าสนใจว่าการลาออกของนายเสกสกลในครั้งนี้ จะกระทบต่อผู้ที่เก็บข้าวของเตรียมจะย้ายเข้าบ้านรวมไทยสร้างชาติ มากน้อยเพียงใด? แต่คำถามสำคัญคือเมื่อไร้นายเสกสกลแล้ว เสาเข็มตัวจริงของบ้านรวมไทยสร้างชาติ จะเผยตัวเมื่อใดหรือจะส่งใครออกมาเป็นทัพหน้าประคองสถานการณ์ตอนนี้ไปก่อน?
เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหนึ่งพรรคการเมืองตั้งใหม่ ที่ในตอนแรกถูกมองว่าเป็นพรรคสาขาพลังประชารัฐ อย่างพรรคเศรษฐกิจไทยก็ดูช่าง สถานการณ์ของพรรคเศรษฐกิจไทยสวนทางกับรวมไทยสร้างชาติ ที่แข็งแกร่งขึ้นภายใต้การนำทัพของอดีตขุนพลของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งบิ๊กน้อย และร้อยเอกธรรมนัส
และเพื่อให้เป็นพรรคเป็นที่โดดเด่นด้านเศรษฐกิจตามชื่อพรรคเศรษฐกิจไทย ทางพรรคจึงได้มีการทาบทามมือดีด้านเศรษฐกิจอย่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเข้าสังกัด ซึ่งหากได้มือดีเข้าสังกัดพรรคก็คงไม่ใช่ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้เจ้าตัว
ทั้งสองก็ยังไม่เคยออกมายอมรับ
ผิดกับพรรคสร้างอนาคตไทย พรรคที่ดูจะแตกตัวมาจากพรรคพลังประชารัฐอีกพรรค ที่นับวันภาพเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงภายหลังจากที่เปิดตัว นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ยิ่งทำให้สปอตไลท์ฉายไปที่ 4 ขุนพลหลักของพรรคมากขึ้นไปด้วย
งานนี้จึงไม่รู้ว่าการที่พรรคพลังประชารัฐ ยังไม่มีการปรับโครงสร้างใหญ่จริงๆ เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะว่าได้มีการเตรียมการบางอย่าง อะไรไว้อีกแบบหรือไม่? หรือเป็นเพียงสร้างทางเลือกรอวันตัดสินใจ?
“ชายชาติชาตรีสมควรยืดได้หดได้เมื่อถึงคราจำเป็น”
ราชายุทธจักร จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี