การเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร(กทม.)ในห้วงเวลา 47 ปีที่ผ่านมามีการเลือกตั้งผู้ว่าฯมาแล้ว 9 ครั้ง ตั้งแต่มีการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2518
ในห้วงเวลา 46 ปี ที่ผ่านมา กทม.มี ผู้ว่าฯมาแล้ว 16 คนในจำนวนนี้ 9 คน มาจากแต่งตั้งจากรัฐบาลที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารหรือการยึดอำนาจ มีเพียง 7 คนเท่านั้น ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ผู้ว่าฯ กทม.ที่ได้รับการเลือกตั้งสองสมัย ได้แก่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง จากกลุ่มพลังธรรม นายอภิรักษ์ โกษะโยธินและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับการเลือกตั้งสองสมัยติดกัน
ดังนั้นในห้วงเวลา 46 ปี“ผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง”ได้บริหารงานเพียง 30 ปี ส่วนเวลา 16 ปี ตกอยู่ในมือของ “ผู้ว่าฯที่มาจากการแต่งตั้ง” ซึ่งประเด็นนี้เป็นที่น่าสนใจว่า ทำไม “ผู้ว่าฯมาจากการแต่งตั้ง”จึงอ้างว่ามีผลงานมากกว่า “ผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง”
เหตุผลที่อธิบายกันได้ง่ายๆ คือ “ผู้ว่าฯมาจากการแต่งตั้ง”โดยผู้ถือ “อำนาจรัฏฐาธิปัตย์” หรือ “ผู้ยึดอำนาจ”ทำงานได้ฉับไวตามอำเภอใจ เพราะสามารถใช้อำนาจเผด็จการตามกฎหมายที่รัฐบาลทหารเขียนเองเช่น มาตรา 44 ที่รัฐบาลทหารหรือคสช.บัญญัติไว้
“ผู้ว่าฯมาจากการแต่งตั้ง”สามารถขอความร่วมมือ สั่งการให้ตำรวจ ทหาร มีอำนาจเด็ดขาดมาช่วยราชการตามมาตรา 44 ในการจัดระเบียบ“รถตู้” จัดระเบียบ“พ่อค้าแม่ค้าในตลาดคลองถม”ไม่ให้ขายของบนทางเท้า ให้ขายของได้บางเวลาและจัดระเบียบอื่นๆ ที่รัฐบาลทหารต้องการทำ “เมืองหลวง” ให้เป็นระเบียบให้เป็นตามแผนงานที่รัฐบาลทหารวางโครงการไว้ หากมีอุปสรรคใดๆ ก็สามารถใช้มาตรา 44 ที่มีอยู่ผลักดันให้แผนงานได้ลุล่วงตามแผนการที่วางไว้
ส่วน“ผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง”ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบราชการ ตามกระบวนการกฎหมายซึ่งมีอุปสรรคมากมาย เนื่องจากนิสัยคนไทยชอบทำอะไรตามอำเภอใจนึกจะขายตรงไหนก็ขาย นึกตั้งคิวรถตรงไหนก็ตั้งได้ นึกทิ้งขยะตรงไหนก็ตามอำเภอใจ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เมื่อบังคับใช้ ก.ม.ก็อาจเจอตอเจอขาใหญ่ในขณะที่ไม่มีมาตรา 44ไปจัดการกับคนที่อยู่เหนือกฎหมายได้
ที่สำคัญ กทม.ยังอยู่ภายใต้การกำกับของ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้ง จากผู้มีอำนาจ สามารถประสานงาน หรือ ทำงานสมประโยชน์กับกระทรวงมหาดไทยได้ สมประโยชน์กับรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือได้
ดังนั้นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้ง จึงเหมือนหุ่นยนต์ของรัฐบาลทหาร ถึงแม้มีผลงาน ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเอามาอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองได้เพราะโครงการแผนงานส่วนใหญ่ริเริ่มและประสานงานโดยรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือ
ผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้ง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งแรกในปี 2518 การเลือกตั้งครั้งนั้น นายธรรมนูญ เทียนเงิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ จากพรรคพลังใหม่ได้เป็น ผู้ว่าฯกทม. นายธรรมนูญเป็นผู้ว่าฯกทม.อยู่หนึ่งปีแปดเดือนถูกนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกฯรัฐบาลหอยปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้ตำแหน่ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กลับไปสู่ยุคแต่งตั้งอีกครั้งและได้ผู้ว่าฯจากการแต่งตั้งในห้วงเวลานั้น 4 คน คือ นายชลอ ธรรมศิริ นายเชาวน์วัศ สุดลาภา พลเรือเอกเทียม มกรานนท์และนายอาษา เมฆสวรรค์
ในห้วงเวลาผู้ว่าฯกทม.มาจากการแต่งตั้งยุคนั้นคนวัย 60 ปีขึ้นไปคงจำได้ว่าขยะเกลื่อนเมืองอย่างไร กองขยะในซอยอ่อนนุชสูงเป็นภูเขาเลากา น้ำประปาไหลเอื่อยเป็นบางเวลา รถเมล์ รถโดยสารห้อยโหนกันเหมือนลิงเหมือนค่างของผู้ว่าฯแต่ประชาชนก็ทนได้เพราะอยู่ภายใต้การบริหารแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร
จนในเดือนพฤศจิกายน 2528 จึงกลับมาสู่ระบบเลือกตั้ง อีกครั้งหนึ่งและมีผู้ว่าฯกทม.จากการเลือกตั้งอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมา เรามี ผู้ว่าฯกทม.มาจากการเลือกตั้งแปดคน เป็นของพรรค/กลุ่มพลังธรรม 1 คน 2 สมัยเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ 2 คน 4 สมัย เป็นของพรรคประชากรไทย 2 คน 2 สมัยและอื่นๆ
ผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้ง ของ พรรคประชาธิปัตย์ สองสมัย คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ว่าฯกทม. จากประชาธิปัตย์ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ไม่ครบวาระเพราะรัฐบาลทหารปลดออกจากตำแหน่ง 2 คน คือ นายธรรมนูญ เทียนเงินกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ส่วนนายอภิรักษ์ โกษะโยธินแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากมีข้อครหาเรื่องซื้อรถ/เรือดับเพลิงที่ผู้บริหารกทม.ทำไว้ก่อนหน้า
และผู้ว่าฯกทม.มาจากการเลือกตั้งของประชาธิปัตย์ทั้งสองคน ถูกรัฐบาลทหารปลดออกจากตำแหน่งโดยไม่ถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นแม้แต่คนเดียว คนสุดท้ายที่ถูกรัฐบาลทหารปลดคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เพียงแต่มีข้อครหาเรื่องติดไฟประดับศาลาว่าการ กทม. จนวันนี้ ยังไม่มีคดีถึงศาล
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ารัฐบาลทหารที่อำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือปลดผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งเพราะทำงานไม่ได้ดังใจรัฐบาลทหารหรือไม่ก็ขัดใจรัฐบาลทหารแล้วแต่งตั้งผู้ว่าฯที่สั่งให้หันซ้ายหันขวาได้ขึ้นมาแทน
ดั่งนั้น ผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้ง จึงไม่มีความชอบธรรมที่อ้างผลงานที่ผ่านมาว่าเป็นผลงานของผู้ว่าฯกทม.โดยตรง
การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 9 ครั้งที่ผ่านมา มีการแข่งขันกันชัดเจน ระหว่างพรรคการเมืองเพียงสองหรือ สามพรรค และผู้สมัครอิสระสิบกว่าคน การเลือกตั้งในปี 2518 ชัดเจนว่าแข่งขันกันระหว่าง ปชป.กับ พรรคพลังใหม่
และหลังจากกทม.ถูกแช่แข็งด้วย ผู้ว่าฯกทม.แต่งตั้ง 16 ปี จนได้เวลามาเลือกตั้งใหม่ การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ตั้งแต่นั้นมาที่มีการแข่งขันกันชัดเจน ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรค/กลุ่มพลังธรรม และพรรคประชากรไทย โดยประชาธิปัตย์ชนะสี่ครั้ง พลังธรรมสองครั้ง ประชากรไทยสองครั้ง ที่เหลือเป็นผู้ว่าฯไม่สังกัดพรรคการเมือง
แต่การเลือกตั้ง อาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้เป็นการแข่งขันกันในแนวใหม่เรียกว่า เลือกตั้งแบบไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย คือ พรรคใหญ่สองพรรคมีผู้สมัครแยกออกไป เป็นหกเบอร์หกฝ่าย สรุปง่ายๆคือสองพรรคใหญ่ มีคนแยกตัวออกไปสมัครแข่งขัน แย่งคะแนนในฐานคะแนนเดียวกันเองพรรคละสามเบอร์
ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนหนึ่งคน ส่วนอีกสองคนสมัครในนามอิสระ แต่มีฐานคะแนนมาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มเดียวกัน
ส่วนพรรคคู่สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ มีผู้สมัครสามคน สองคนลงสมัครในนามพรรคที่แยกตัวไปพรรคใหม่ หนึ่งคนสมัครในนามอิสระ แต่ไม่สามารถแยกออกจากพรรคได้ชัดเจน
ในบรรดาผู้สมัครสามสิบคน มีอยู่สามคนที่ลงสมัครในนามพรรคการเมือง อีก 27 คน สมัครอิสระแต่บางคนไม่อิสระจริง
จากการประเมินของหลายฝ่าย ได้ข้อสรุปว่าจนถึงวันนี้เหลือผู้สมัครเพียงสองคน ที่ได้รับความนิยมคู่คี่สูสีกัน ส่วนยี่สิบแปดคนที่เหลือ มีคะแนนนิยมตามกันมาห่างๆ
ถึงวันนี้ถือว่า เป็นโค้งสุดท้ายแล้วที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 4.4 ล้านคน จะตัดสินใจว่าแม่น้ำแยกสาย หรือไผ่แตกกอ ทั้งหกลำนี้ ท่านจะเลือกใคร ที่ไม่ทำให้เสียงของท่านสูญเปล่า
การเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. คือ การเลือกคนมาบริหารเมืองหลวง ไม่ใช่การเลือกตั้งเพื่อเห็นแก่พวกพ้อง หรือหย่อนบัตรเลือกตั้งเพื่อรักษาหน้าให้ใคร
ถึงเวลาที่ตัดสินใจว่า หย่อนบัตรเลือกให้ใคร ไม่ให้คะแนนสูญเปล่า เลือกเบอร์ไหนเพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาที่รอคอยกันมาแปดปี
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี