“แรงงานคือผู้สร้างเศรษฐกิจชาติ” เป็นกำลังสำคัญทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ นำเงินตราจากต่างแดนเข้าสู่ประเทศไทย และนำรายได้ที่ได้รับจากการทำงานไปจับจ่ายใช้สอยซึ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ แต่อีกด้านหนึ่ง “สุขภาพของแรงงานก็สำคัญต่อชาติ เช่นกัน” โดยเฉพาะการปล่อยให้วัยแรงงานสะสมปัจจัยเสี่ยงจนวันหนึ่งเมื่อสังขารร่วงโรยเข้าสู่วัยชราก็ต้องเผชิญความทุกข์ทรมานจากสารพัดโรครุมเร้า กลายเป็นภาระทางการเงินทั้งส่วนบุคคลและระบบสวัสดิการภาครัฐ ทั้งที่ป้องกันได้จากความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย
เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “Reimagine Workplace Health Policy มองมุมใหม่ ยกเครื่องนโยบายสุขภาพคนทำงาน” โดย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย กรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCDs) เป็นปัญหาสำคัญของไทยเป็นอย่างมาก และมีความรุนแรงมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับอัตรามาตรฐานของทั่วโลกที่อยู่ร้อยละ 60 ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด อย่างไรก็ตาม โรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถป้องกันได้
“มีหน่วยงานมากมายได้มีโครงการเพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ แต่มีคนเข้าถึงโครงการน้อย ซึ่งในอนาคตคนอายุ 60-70 ปี จะมีจำนวนมากขึ้น ประเทศไทยควรจะทำให้คนอายุ 60-70 ปี มีความคล่องแคล่วเหมือนกับวัยหนุ่มสาว สามารถทำงานได้ จึงจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เช่น โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต โรคมะเร็ง และโรคถุงลมโป่งพอง เป็นต้น ด้วยการสร้างเสริมสุขภาพ นอกจากนี้ วัยในช่วงอายุ 20-60 ปี ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ทำงานเป็นหลัก แต่ได้รับการเข้าถึงโครงการต่างๆน้อยมาก จึงจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนในวัยแรงงานทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้โดยสะดวก” นพ.สุขุม กล่าว
ขณะที่ วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า แรงงานเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุด ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 50 เนื่องจากสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะ “สังคมเมือง” ที่ผู้คนทำงานในสำนักงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง เช่น ทำงานอยู่กับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น จึงทำให้กิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 150 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ มีความเกี่ยวข้องทำให้เกิดโรค NCDs
“จากการสำรวจสุขภาพด้วยการตรวจร่างกายในปี 2562 พบว่า ประชากรอายุ 15-20 ปี ประมาณถึงร้อยละ 35 มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง นอกจากนี้ ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปร้อยละ 42 อยู่ในภาวะอ้วน และประชากรอายุระหว่าง 15-29 ปี ร้อยละ 33 อยู่ในภาวะอ้วนเช่นกัน และประชากรอายุระหว่าง 30-44 ปี มากถึงร้อยละ 47 อยู่ในภาวะอ้วน แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสังคมแบบใหม่นำไปสู่พฤติกรรมทำให้เกิดภาวะอ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมอยู่ในโรค NCDs” วรวรรณ ระบุ
วรวรรณ กล่าวต่อไปว่า มีงานวิจัยพบการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย เมื่อเปรียบเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นร้อยละ 25
นอกจากนี้ โรคดังกล่าวยังเป็นสาเหตุหลักของภาวะความพิการก่อนเสียชีวิตด้วย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีผลต่อการเสียชีวิตและความพิการจากการเป็นโรค NCDs ได้แก่ 1.ระดับน้ำตาลในเลือดสูง 2.ดัชนีมวลกายสูง และ 3.ความดันโลหิตสูง ซึ่งการมีกิจกรรมทางกายต่ำมากๆ จะทำให้มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แต่การที่จะปรับพฤติกรรมคนวัยทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงได้มีการทดลองโดยมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ
“มีการทดลองแจก Smart Watch ให้กับพนักงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 18 หน่วยงาน ซึ่งพบว่าไม่ได้ช่วยให้คนออกกำลังกายมากขึ้น แต่สิ่งที่จะช่วยคือการแทรกแซงทางด้านสังคม มีการให้รางวัล มีการแข่งขันกัน จะช่วยกระตุ้นให้คนออกกำลังกาย นอกจากนี้ผู้นำองค์กรต้องมีส่วนร่วมที่จะเข้าไปแทรกแซงด้วย หรือส่งเสริมให้คนในองค์กรทำกิจกรรมทางกาย” วรวรรณ กล่าว
ด้าน ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ วงศ์รัฐนันท์ ผู้จัดการสังเคราะห์ความรู้และพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย Workplace Policy มสช. ระบุว่า งานวิจัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พบสถานประกอบการเข้าถึงโครงการ “Happy Workplace” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ต่างจากเดิมมากนัก โดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการประมาณ 4 หมื่นแห่ง แต่เมื่อเทียบกับสถานประกอบการทั้งหมด ที่มีประมาณ 4 แสนกว่าแห่ง
“ในโลกยุคปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับสุขภาพคนทำงานมากขึ้น ซึ่งต่างประเทศได้มีการลดชั่วโมงทำงานลงเหลือ 48-52 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยบรรจุอยู่ในกฎหมายแล้ว ในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพที่อยู่ในสถานประกอบการเมื่อก่อนจะมีในเรื่องของความปลอดภัยเป็นตัวหลักของสถานประกอบการ โดยเฉพาะโรงงานที่จะเน้นในเรื่องของความปลอดภัย ถ้าสามารถบูรณาการเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพเข้าไปกับเรื่องความปลอดภัย จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง” ผศ.พญ.ฉัฐญาณ์ กล่าว
ปิดท้ายด้วย ปณิธาน ปวโรฬารวิทยา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าคนวัยทำงานในไทยความจริงแล้วสถานประกอบการมีหน้าที่ดูแลคนกลุ่มนี้ โดยให้เวลา 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการดูแลสุขภาพ ซึ่งเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่มี Proactive ของผู้ประกอบการ จึงจำเป็นต้องพูดคุยกันก่อนว่าการที่ลูกน้องมีสุขภาพที่ดี สามารถที่จะทำอย่างไรได้บ้างและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว เนื่องจากลดปัญหาการขาดงานหรือลางานที่เกิดจากปัญหาสุขภาพได้
“ถ้าหากผู้บริหารสถานประกอบการมีความเข้าใจและเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จะสามารถทำให้พนักงานและผู้บริหารสามารถมีสุขภาพดีไปด้วยกันได้” ปณิธาน กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี