ภาพและเสียงนักข่าวผู้หญิงรายหนึ่งซึ่งสังกัด workpoint TV ที่จงใจแสดงวาจาและกิริยาสุดหยาบคายต่อพระภิกษุสงฆ์ชรารายหนึ่ง เป็นสิ่งที่ผู้ได้เห็นข่าวนั้น แล้วบอกตรงกันว่า เลวทรามมาก จนสุดท้ายสังคมร่วมกันกดดันสถานีโทรทัศน์ต้นสังกัด แล้วก็พร้อมใจกันตั้งคำถามไปยังสมาคมวิชาชีพนักสื่อสารมวลชนว่า จะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เลวทรามนี้อย่างไร
จนในที่สุด เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย-ออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม อันอาจละเมิดหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณนักสื่อสารมวลชน และอาจเป็นกระทำเกินหน้าที่และขอบเขตของผู้สื่อข่าว
ทั้งนี้สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอให้สำนักข่าวและสถานีข่าวระมัดระวังการนำเสนอข่าวที่อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเข้มงวดกับการรายงานข่าวให้รอบด้านและครอบคลุม อย่างมีสมดุล เพื่อให้เป็นไปตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ พ.ศ. 2553 หมวด 4 แนวปฏิบัติของผู้ประกอบวิชาชีพข่าว ข้อ 11 การได้มา หรือการนำเสนอ หรือการเผยแพร่ข่าวสาร และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง พึงใช้วิธีการสุภาพ ซื่อสัตย์ หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ หรือมีความหมายที่ดูถูก เหยียดหยามผู้อื่น
คนภายนอกวงการสื่อสารมวลชนอาจตั้งคำถามว่า หลักจริยธรรม และหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อสารมวลชนคืออะไร มีข้อกำหนด หรือข้อบังคับอะไรบ้าง
ผู้เขียนแนะนำว่าหากต้องการทราบหลักดังกล่าวอย่างจริงจัง ขอให้ค้นหาจากเว็บไซต์ของสภาการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ (อดีตคือสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ) และยังสามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รวมถึงสมาคมวิชาชีพสื่อสารมวลชนอื่นๆ ด้วย
แต่หากจะกล่าวโดยสรุปถึงหลักจริยธรรม และจรรยาบรรณสื่อมวลชน ก็ตอบได้โดยสังเขป ดังนี้ สื่อมวลชนต้องรายงานข่าวโดยยึดหลักความจริง ความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกปฏิบัติ ยึดหลักความสมดุลในการนำเสนอข่าว ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของแหล่งข่าว นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่นำเสนอภาพไม่เหมาะสม เช่น ภาพลามกอนาจาร เป็นต้น
สำหรับผู้ที่ติดตามรับชม รับฟัง รวมถึงอ่านข่าวในชีวิตประจำวันต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่า สื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่ในยุคนี้เคร่งครัดและเคารพหลักจรรยาบรรณ และจริยธรรมของสื่อมวลชนมากน้อยเพียงใดแล้วก็ต้องบอกตรงๆ ด้วยว่า สำหรับคนที่อยู่ในวงการสื่อมวลชนของบ้านเราเองนั้น หลายรายไม่ได้ให้ความเคารพ และยึดมั่นในหลักการทั้งสองเลย เพราะทำผิดหลักจรรยาบรรณและจริยธรรมนักสื่อสารมวลชนตลอดเวลา
อันที่จริงแล้ว กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นนั้น แม้สถานีโทรทัศน์ workpoint ได้เลิกจ้างนักข่าวสตรีรายที่ตกเป็นข่าวไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีคำถามตามมาว่า การเลิกจ้างนักข่าวที่มีปัญหารายนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่ากระบวนการรับนักข่าวเข้าไปทำงานในองค์กรสื่อสารมวลชนใดๆ ก็ตาม ต้องมีขั้นตอนและกรรมวิธีคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมกับการทำหน้าที่นักสื่อสารมวลชนที่เคร่งครัดตามหลักจรรยาบรรณ และจริยธรรมสื่อมวลชน
ดังนั้นการที่องค์กรข่าวรับบุคคลเข้าไปเป็นผู้สื่อข่าว แล้วต่อมาผู้สื่อข่าวในสังกัดได้แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการทำหน้าที่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าแค่เลิกจ้างแล้วจบปัญหา แต่ต้องกลับไปทบทวนด้วยว่าการกระทำของนักข่าวรายนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดจากพฤติกรรมส่วนตัว โดยต้นสังกัดไม่รับรู้ และไม่เคยสั่งการให้กระทำมาก่อน หรือเกิดขึ้นเพราะได้รับมอบหมายจากหัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการข่าว หากเกิดมาจากเหตุปัจจัยหลังแล้ว ต้องลงโทษผู้สั่งการด้วย มิใช่ลงโทษแค่นักข่าวเท่านั้น
อันที่จริง เมื่อพูดถึงภาพรวมโดยทั่วไปในการทำงานข่าว (ทั้งนี้มิได้หมายความถึงกรณีที่กำลังเกิดเป็นข่าวล่าสุด) หัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการข่าวที่เป็นผู้บังคับบัญชาของนักข่าวจำเป็นต้องรู้ถึงพฤติกรรมส่วนตัวในการทำหน้าที่ของนักข่าวแต่ละรายด้วย เช่น หากรู้ว่านักข่าวชอบแสดงพฤติกรรมอันเข้าข่ายละเมิดแหล่งข่าว หรือใช้ความเป็นนักข่าวไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เช่น กรรโชกทรัพย์จากแหล่งข่าว หากทราบเรื่องเหล่านี้ หัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการข่าวต้องบอกให้นักข่าวรายนั้นยุติการกระทำที่ว่านั้นโดยทันที มิใช่นิ่งเฉย หรือปล่อยปละละเลยให้กระทำต่อไป เพราะการปล่อยปละละเลยก็หมายถึงการสนับสนุนให้นักข่าวทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อไปเรื่อยๆ แล้วถ้าหากวันหนึ่งนักข่าวถูกจับได้ว่ามีพฤติกรรมฉ้อฉลใดๆ ก็ตาม ต้องลงโทษผู้บังคับบัญชาของนักข่าวรายนั้นด้วย มิใช่ลงโทษเฉพาะนักข่าวเพื่อตัดตอนปัญหาเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงต้นสังกัดและตัวของผู้บังคับบัญชานักข่าวไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนด้วย เราต้องยอมรับความจริงว่าในประเทศไทยมีสมาคมสื่อมวลชน และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนมากมายเหลือเกิน มากเสียจนกล่าวได้ว่าตั้งซ้อนกันไปซ้อนกันมา ราวกับว่าใครใคร่ตั้งก็สามารถตั้งได้โดยง่ายดาย แต่ทว่าการมีองค์กร และสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนมากมาย กลับมิได้ช่วยให้การกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในประเทศไทยดำเนินการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกทำนองคลองธรรม ซึ่งกลายเป็นว่ามีองค์กรมากมาย แต่ทว่าไม่มีองค์กรใดสามารถดูแล ควบคุมสมาชิกของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานสากล
ขอย้ำว่าประเทศไทยมีสมาคมและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนมากมายเหลือเกิน มีทั้งในส่วนกลางคือในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งก็ซ้ำกันไปกันมาจนหลายคนสับสน (แม้กระทั่งคนในวงการสื่อมวลชนเองก็สับสน) นอกจากนี้ยังมีองค์กรสื่อมวลชนในต่างจังหวัด โดยมีทุกจังหวัด พบด้วยว่าในจังหวัดเดียวกันมีองค์กรสื่อมวลชนซ้ำๆ กันอีกมากมาย แต่การมีองค์กรสื่อมวลชนมากๆ กลับไม่เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการและดูแลสื่อมวลชนให้ทำงานอย่างมีคุณภาพ แต่เป็นการตั้งขึ้นมาโดยบางองค์กรมีผลประโยชน์ส่วนบุคคลแอบแฝง บางองค์กรสื่อฯ ในต่างจังหวัดประกาศตัวไม่ขึ้นกับองค์กรสื่อฯ ในส่วนกลาง
ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าองค์กรและสมาคมสื่อมวลชนจะสามารถควบคุมดูแลสื่อมวลชนในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแท้จริง แต่ดูเสมือนตั้งองค์กร สมาคมสื่อฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
อย่างไรก็ตาม สาธารณชนมักจะเห็นว่าสมาคมและองค์กรสื่อมวลชนชอบออกมาเรียกร้อง ในเวลาสมาชิกของตนถูกกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายละเมิด แต่เมื่อสมาชิกของตนเองละเมิดผู้อื่น กลับพบว่าสมาคมและองค์กรสื่อมวลชนจะนิ่งเงียบ หรือกว่าจะออกมาแสดงปฏิกิริยาใดๆ ก็ต่อเมื่อถูกสังคมรุมกดดัน และรุมประณามจนไม่สามารถกบดานต่อไปอีกได้
นอกเหนือจากสมาคมและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจะเงียบเมื่อสมาชิกของตนกระทำการอันไม่เหมาะไม่ควรแล้ว ก็ยังพบว่าบรรดาคนสอนหนังสือในคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชน ที่มีอยู่มากมายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนก็ไม่กล้าออกมาแสดงความเห็นใดๆ เมื่อสื่อมวลชนกระทำละเมิดต่อผู้อื่น สาธารณชนจึงตั้งคำถามไปยังบรรดาคณะวิชาที่สอนด้านนิเทศฯ วารสารฯ และสื่อสารมวลชนว่า ทำไมจึงไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เมื่อเกิดพฤติกรรมไม่สมควรของสื่อมวลชน เงียบเฉยเพราะว่าไม่เคยรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือเงียบเฉยเพราะกลัวถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ในคณะและในมหาวิทยาลัย
ต้นสังกัดมาประจาน
ขอย้ำว่าสื่อมวลชนมีฐานะเป็นผู้นำความคิดของสังคม เพราะเป็นผู้กำหนดประเด็นสาธารณะ (agenda setting) และเป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของข่าว สื่อมวลชนต้องไม่อ้างแค่เพียงสิทธิเสรีภาพของตน แล้วละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ดังที่สาธารณชนได้รับรู้เป็นประจำในระยะหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อสื่อมวลชนเรียกร้องอิสรภาพในการทำงานแล้ว สื่อฯ ก็ต้องตระหนักในผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากสื่อฯ ด้วย สื่อฯ ต้องสำเหนียกตลอดเวลาว่าการทำงานของตนต้องไม่ทำให้สังคมเกิดปัญหาตามมา และไม่ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก เกิดความไม่ปกติสุข
สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้สื่อฯ ทำงานตามหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมคือ การมีสติปัญญา มีความละอายต่อสิ่งที่เป็นเรื่องผิดทุกชนิด และสื่อฯ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยต้องยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณ และจริยธรรมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด ต้องมีความรับผิดชอบในการกระทำของสื่อฯ ก่อนนำเสนอข่าวใดๆ ออกสู่สังคม สื่อฯ ต้องกลั่นกรอง ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนนำเสนอออกไป และต้องไม่ยอมให้ผู้ใดใช้ความเป็นสื่อฯ ไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นอันขาด
ทุกวันนี้ ผู้คนมากมายบอกตรงกันว่าสื่อฯ จำนวนไม่น้อยในสังคมไทยปราศจากความน่าเชื่อถือ เพราะนำเสนอเรื่องไร้สาระตลอดเวลา ผู้จัดรายการข่าวในสถานีโทรทัศน์หลายรายจงใจละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่นเป็นประจำ และไร้รสนิยม ดังปรากฏว่าผู้ดำเนินรายการข่าวที่เป็นผู้ชายรายหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ช่องสาม นำเอาข้อมูลส่วนตัวด้านการรักษาพยาบาลของพระภิกษุสงฆ์ชรามาเปิดเผยต่อสังคมโดยผ่านรายการที่ตนเองดำเนินรายการอยู่ เรื่องสามานย์ เลวทรามแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในสถานีโทรทัศน์ของประเทศไทย ทำไมผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ปล่อยให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นได้ หรือผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นโดยผ่านรายการในช่องสถานีของตน หรือว่าผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไม่เคยให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระของข่าวสาร แต่ต้องการเพียงยอดผู้ชมเท่านั้น
การกระทำใดๆ ของสื่อมวลชนที่ไม่เคารพหลักจรรยาบรรณและจริยธรรมสื่อมวลชน คือการจงใจฆ่าตัวเองให้ตายไปจากความเชื่อถือ ศรัทธา เชื่อมั่น และความเคารพของสาธารณชนที่มีต่อสื่อมวลชน
หากสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยของไทยยังคงไม่เคร่งครัดในหลักจรรยาบรรณ และจริยธรรมสื่อมวลชน ก็เท่ากับประกาศให้สาธารณชนรับรู้โดยชัดเจนว่า สื่อมวลชนเป็นตัวบ่อนทำลายสังคมไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี