นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระโพสต์เฟซบุ๊คชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ภายหลังมีคำถามว่าจะทำงานอย่างไร หากต้องทำงานร่วมกับ สก.
โดย นายชัชชาติ อธิบายว่า การเลือก สก. กับ ผู้ว่าฯ กทม. แยกส่วนกัน ต่างกับการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เข้าสภาผู้แทนไปตั้งนายกรัฐมนตรี ย้ำที่ผ่านมาวาระเลือก ผู้ว่าฯ กทม. กับ สก. ไม่ตรงกัน แต่ยังทำงานต่อเนื่องกันได้ หน้าที่หลักของ สก. คือออกข้อบัญญัติและพิจารณางบประมาณ และมีความแตกต่างจาก สส. เพราะสภากทม. ไม่มีการแบ่งเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล และไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถอดถอนผู้ว่าฯได้ ถึงแม้ผู้ว่าฯ จะส่ง สก.ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าจะได้เสียงเกินครึ่ง ดังนั้น ผู้ว่าฯ ต้องทำงานร่วมกับ สก. ทุกคนให้ได้
ข้อดีของการลงสมัครในนามอิสระ เพราะทำให้ประสานงานกับ สก. ทุกพรรคได้ง่าย ที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ หลายคนที่ลงอิสระ หรือไม่มี สก. เป็นเสียงข้างมากในสภากทม. ก็ทำงานได้ไม่มีปัญหา เช่น นายพิจิตต รัตตกุล และนายสมัคร สุนทรเวช เช่นเดียวกับผู้ว่าการเมืองหลายคนในต่างประเทศก็ล้วนลงสมัครในนามอิสระ เช่น นายไมเคิล บลูมเบิร์ก ผู้ว่าการนครนิวยอร์ก นายเคอเหวินเจ๋อ ผู้ว่าการกรุงไทเป และนางยูริโกะ โคอิเคะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว
“การไม่สังกัดพรรค ทำให้ประสานงานกับรัฐบาลได้ทุกรัฐบาล ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นพรรคเดียวกันหรือไม่ เราเชื่อมั่นว่า สก. ที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน จะทำงานร่วมกับ ผู้ว่าฯ โดยเห็นแก่ประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลัก มากกว่า
ผลประโยชน์ของพรรคหรือกลุ่มการเมือง เราพร้อมทำงานร่วมกับ สก. ที่ประชาชนเลือกมาจากทุกพรรค เพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกเขต คงต้องถามว่า สก. พร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. ที่ไม่ได้อยู่พรรคตัวเองหรือไม่”
ขณะที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งลูกชาย คือ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ อยู่ในทีมชัชชาติ โพสต์เฟซบุ๊คเรื่อง “เอาความจริงมาพูด เลิกตัดโอกาสคนกรุงฯ หยุดทำลายล้างแบบเก่า!” มีเนื้อความว่า
“...ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯกทม. สังกัดพรรคการเมือง ร่วมทำงานกับสก.พรรคเดียวกัน และ
ต่างพรรค ขอโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์จริง หลังช่วงที่ผ่านมามีผู้แสดงความเห็นถึง ผู้ว่าฯกทม. อิสระ และไม่มี สก.พรรคสนับสนุน กับ สก.สังกัดพรรคการเมือง แต่ไม่ส่งผู้ว่าฯกทม. จะไม่สามารถทำงานรับใช้ชาวกรุงเทพฯได้นั้นเป็นความจริงหรือไม่
สำหรับโพสต์แรกนี้จะขอนำเสนอประสบการณ์จริง ถึงข้อดีและข้อเสียของ ผู้ว่าฯกทม.ที่มี สก.พรรคสนับสนุน กับผู้ว่าฯกทม.อิสระ โดยไม่มีสก.พ่วงมาด้วย แบบไหนจะเป็นประโยชน์ เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯชั่งน้ำหนักอย่างรอบด้าน และตัดสินใจในวันที่ 22 พ.ค.
สำหรับข้อดีคือ ผู้ว่าฯกทม. และสก.พรรคเดียวกันนั้น จะมีความเข้าใจในแนวทางและนโยบายการทำงานของพรรค สามารถใช้กลไกพรรคในการประสานงานได้ โดยมีพรรคเป็นศูนย์กลางที่ต้องรับทั้งความผิดและรับชอบด้วย จะชิ่งและหนีปัญหาเอาตัวรอดไม่ได้
ในขณะที่ข้อเสีย ผู้ว่าฯกทม. อาจไม่สามารถขอความร่วมมืออะไร สก.ได้ทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งเพราะ สก.ถือว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯกทม. อีกทั้ง สก.บางคนยังเข้าใจเอาเองว่าเป็นส่วนสำคัญทำให้ผู้สมัครชนะการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะชัยชนะส่วนใหญ่มาจาก ตัวบุคคล และทีมงานผู้สมัครที่มีคุณภาพ นโยบาย และความน่าเชื่อถือของพรรคการเมือง
และมีอยู่หลายครั้ง หลายเหตุการณ์ ที่ผู้ว่าฯกทม.กับ สก. เห็นไม่ตรงกัน นั่นเพราะมิติของผู้ว่าฯกทม. จะมองในภาพรวมทั้ง 50 เขต และ ประโยชน์ของชาวกรุงเทพฯทั้งหมดแต่สก.จะมองเฉพาะเขตตนเองเท่านั้น อาจทำให้การทำงานแก้ไขปัญหาบางเรื่องติดขัด
ข้อสำคัญ ผู้ว่าฯกทม.กับ สก.ที่สังกัดพรรคการเมือง ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันต่างๆ รวมทั้งต้องเดินตามแนวทางพรรค และผู้บริหารพรรค หรือแม้กระทั่งบางพรรค มีนายทุน และเจ้าของพรรค หากจะเดินนอกกรอบ จึงยากจะเป็นไปได้
ในขณะที่ผู้ว่าฯกทม. ที่ไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคการเมือง หรือที่เราเรียกกันว่า ผู้ว่าฯกทม.อิสระ ซึ่งช่วงนี้มีหลายคนออกมาพูดกันว่า การมาตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่มีพรรค ไม่มี สก. จะไม่สามารถทำงานได้
ผมไม่แน่ใจว่า การออกมาพูดถึงผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ที่ลงในนามอิสระในลักษณะแบบนี้ เป็นกลยุทธ์การหาเสียงหรือไม่ เพราะคล้ายกับวิธีที่นิยมใช้กันในอดีตเพื่อดิสเครดิตอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะคนพูดไม่เข้าใจการทำงานของ กทม.อย่างถ่องแท้ ไม่เคยมีประสบการณ์บริหารงาน กทม. หรือแม้แต่บางคนเป็นนักการเมืองเก่า เคยลงสมัคร แต่ไม่เคยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จึงไม่มีประสบการณ์จริง จึงกล่าวออกไปแบบนั้น
มันไม่จริงเสมอไปที่ว่า ผู้ว่าฯกทม.อิสระ และไม่มีสก.พ่วงมาด้วย จะทำงานไม่ได้ เพราะในอดีตผู้ว่าฯกทม.หลายคนก็ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง แต่สามารถปฏิบัติภารกิจจนลุล่วงและเข้าไปทำงานกับสก.พรรคอื่นๆ ได้เพราะเขามีความสามารถ
การไม่มีพรรค ก็ถือเป็นข้อดี เพราะทำให้ผู้ว่าฯกทม.สามารถทำงานได้อย่างอิสระ เพราะไม่ต้องอยู่ภายใต้กลไกของพรรค ปราศจากการครอบงำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯกทม.กับ สก.ต่างพรรค จะช่วยให้การทำงานโปร่งใส เพราะมีกระบวนการตรวจสอบกันและกันที่เข้มข้นขึ้น ไม่ต้องกังวลหรือติดค้างอะไรกัน
การทำงานของ กทม. จะไม่เหมือนการบริหารงานในกระทรวง หรือการทำงานในรัฐวิสาหกิจ จะเอาประสบการณ์แบบนี้ มาเหมารวมไม่ได้ เพราะ กทม.เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ มีสภาฯกทม.คอยถ่วงดุล นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการและลูกจ้างของ กทม.เกือบแสนคน ตั้งแต่ระดับล่างถึงปลัด กทม. ที่มีคนทุกช่วงวัย ซึ่งผู้นำจะต้องมีความสามารถ ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ เพื่อให้การทำงานออกมาราบรื่น
งาน กทม.ไม่ได้มีแค่สั่งจากบนลงล่าง ไม่ใช่งานที่จะใช้อำนาจไปจัดการ แต่ต้องอาศัยการขอความร่วมมือซึ่งกันและกัน ของทั้งองคาพยพ ดังนั้น หากปรารถนาที่จะไปบริหารงานของ กทม. ก่อนอื่นต้องทำการบ้าน ศึกษาอัตลักษณ์กทม.ให้ตกผลึกกว่านี้ ที่สำคัญ เลิกใช้วิธีดิสเครดิต หรือ เอามัน ทำลายล้างกันทางการเมืองเพื่อตัดโอกาสคนกรุงเทพฯที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุด
วิเคราะห์ : ก่อนจะอธิบายอะไรให้ยืดยาว คุณพนิชควรวิเคราะห์ “ความเป็นอิสระ” ของคุณชัชชาติ และกระบวนการเปลี่ยนลักษณะป้าย ลักษณะเสื้อ ของ สก.พรรคเพื่อไทย ให้มาเป็นโทนเดียวกับคุณชัชชาติเสียก่อนครับ แล้วค่อยไปหาทางแก้จุดอ่อนเรื่อง “ผู้ว่าฯ มีทีม สก.ไหม” เพราะชัชชาติมีแน่ครับ แต่มีแบบ “ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน” จริงไหมครับคุณพนิช นี่เป็นเรื่องจริยธรรมขั้นพื้นฐาน เป็นความผ่าเผย สง่างามขั้นพื้นฐานที่บกพร่องไปหรือเปล่าครับ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองแบบเก่า แบบใหม่ หรือแบบไหน ก็ไม่ควร “ลับๆ ล่อๆ” แบบนี้ จริงไหมครับ คุณพนิช และนี่ก็มิใช่หลักประกันว่าผู้สมัครอิสระอย่างคุณชัชชาติ จะ “ไม่ถูกครอบงำ” โดย“คนที่ไม่แอบแต่ก็ไม่ปรากฏตัว” ลับๆ ล่อๆ อยู่ด้วยกันอย่างที่สังคมกังขา ยิ่งอดีตที่ผ่านมา ยิ่งชัดเจนว่า คุณชัชชาติ “ไม่เคยมีอิสระเลย” จริงไหมครับ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระ จุดเด่นของคุณชัชชาติอยู่ที่การศึกษา เพราะเป็นผู้มีประวัติการเรียนดีเด่นมาตั้งแต่เด็กจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย และมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เป็นนักวิชาการที่มีความคิดที่เฉียบคม และดูเหมือนจะเป็นผู้ที่ติดตามหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
อย่างไรก็ดี เรายังไม่เคยเห็นผลงานที่โดดเด่นเมื่อได้เป็นรัฐมนตรีช่วย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่อย่างใด มีแต่สิ่งที่หลายคนเห็นว่าเป็นการสร้างภาพ เช่น การหิ้วถุงแกง และการนั่งรถเมล์มาทำงานเมื่อเป็นรัฐมนตรี รวมทั้งสมญานามที่ไม่ทราบใครตั้งให้ว่า เป็นรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
การชี้แจงของคุณชัชชาติ กรณีอนุมัติให้เปิดสายการบินเอกชนกว่า 40 สายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ก็ไม่ดีพอที่จะขจัดข้อครหาให้หมดไปได้ และยังดูเหมือนจะเป็นการปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่น ซึ่งจะอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศตามมาในภายหลัง
เรื่องการเป็นผู้สมัครอิสระจริงหรือไม่ ไม่ว่าจะยืนยันอย่างไร ฝ่ายที่ไม่เอาคุณทักษิณก็ยังไม่วางใจ และก็ดูเหมือนว่า ต่อให้คุณชัชชาติ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยจริง พรรคเพื่อไทยก็คงอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่ดี อนุมานได้จากที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครเป็น สก. ครบทุกเขต และคุณชัชชาติเองก็ยอมรับว่ายังให้ความเคารพคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เหมือนเดิม แม้คุณชัชชาติจะเคยบอกผู้ใกล้ชิดว่า ที่ยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็เพราะคุณทักษิณเป็นคนเดียวที่ให้โอกาส แต่ก็มีคำถามจากฝ่ายที่ไม่เอาคุณทักษิณ 2 คำถามคือ
ทั้งที่รู้ว่า คุณทักษิณ มีคดีทุจริตอย่างมโหฬาร และคุณยิ่งลักษณ์เป็นเพียงนอมินีของคุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทยก็มีสภาพเป็นเหมือนบริษัทส่วนตัวของครอบครัวชินวัตร คุณชัชชาติก็ยังคงยินดีรับตำแหน่งหรือ
เมื่อมีความพยายามผ่านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งมีผู้ออกมาคัดค้านหลายล้านคน คุณชัชชาติก็ยังยอมรับได้โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยหรือ
นอกจากนี้การที่มีการแชร์รูปที่ คุณชัชชาติ ยืนชู3 นิ้วอยู่กับกลุ่มคนที่มีความคิดที่ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ หมายความว่า คุณชัชชาติ ก็มีแนวคิดโน้มเอียงไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
สุดท้ายที่มีบางคนกังวล แต่คนส่วนใหญ่คิดไม่ถึง ก็คือการที่คุณชัชชาติไปทำงานให้กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ หลังพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ความผูกพันกับกลุ่มทุนดังกล่าวยังมีหรือไม่ และหากได้เป็นผู้ว่าฯจะมีการเอื้อประโยชน์หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
สรุป : คุณชัชชาติ มีความคลุมเครือในพฤติกรรมหลายกรณีเหลือเกินครับ โดยเฉพาะเรื่อง “ความเป็นตัวของ
ตัวเอง/ผลงานของตัวเอง และความเป็นอิสระอย่างแท้จริง”
ความชัดเจนเดียวที่ไม่เคยแผ่วเลย คือ นำโด่งในโพลล์ทุกโพลล์ 22 พฤษภาคมคงรู้กันว่า ชัชชาติจะเป็นผู้ว่าฯ
กทม. หรือไม่ และหลังจากนั้นไปอีก 4 ปี ชัชชาติจะมี “อิสระ” อย่างที่พยายามจะชี้แจงจริงหรือไม่
4 ปี ที่คน กทม. ต้องเอา กทม. ไปเป็นเครื่องพิสูจน์ คุ้มกันหรือเปล่า ลองคิดกันดูนะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี