ก.อ.มีมติให้ปลดออกจากราชการ “เนตร นาคสุข” กรณีกลับ คำสั่งไม่ฟ้อง “บอส อยู่วิทยา”
1. เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2565 การประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) พิจารณาผลสอบสวนวินัยร้ายแรง นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ผู้กลับคำสั่งฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอสอยู่วิทยา เป็นไม่ฟ้อง ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2555
หลังการประชุม นายพชร ยุติธรรมดํารง ประธานกรรมการอัยการ ให้สัมภาษณ์ว่า คณะกรรมการ ก.อ. มีมติเอกฉันท์ 8 เสียง ให้ปลดออกจากราชการ นายเนตร นาคสุข เนื่องจากเป็นความผิดวินัยร้ายแรง แต่จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีเรื่องของการทุจริตมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และเนื่องจากนายเนตรไม่เคยประพฤติเสื่อมเสีย อีกทั้งเป็นข้าราชการทำงานมานานเป็นระยะเวลา 40 ปี จึงได้ลดโทษให้เป็นให้ออกจากราชการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่นายเนตรได้ยื่นใบลาออกจากราชการ
“สาเหตุที่บอกว่าเป็นเสียงเอกฉันท์เพราะว่ามี ก.อ. 6 ราย ถูกแต่งตั้งมาให้ร่วมสอบสวนคดีนี้ตั้งแต่ต้น ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุม และในช่วงลงมติ ได้มีการเชิญ ก.อ.ทั้ง 6 คน ออกจากที่ประชุมเพราะว่ามีส่วนได้ส่วนเสียนั่นเอง” นายพชรกล่าว
โดยเรื่องนี้ คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การที่นายเนตรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธนั้น เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่รอบคอบอย่างร้ายแรง ทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง เป็นความผิดตามมาตรา 71 และมาตรา 85 (7) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553
“การสั่งคดีของอัยการนั้นแม้จะสามารถใช้ดุลพินิจได้ แต่ว่าการใช้ดุลพินิจนั้นต้องถูกต้องและมีมาตรฐาน การสั่งคดีที่ไม่ถูกแล้วด้วยมาตรฐานนั้นถือว่า การสั่งคดีนั้นเป็นการสั่งคดีที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง โดยเฉพาะการสั่งคดีที่ไม่ได้รอบคอบ ถามว่าไม่รอบคอบตรงไหน ก็คือว่าในเรื่องนี้มีการสั่งคดีโดยอาศัยพยานหลักฐานซึ่งมีอยู่แล้ว จากคำให้การของพยานสองคน คือ นายจารุชาติ มาดทอง(เสียชีวิตไปแล้ว) และ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร โดยมีการไปสอบพยานเพียงสองปากไม่เพิ่มเติมว่า ขณะนั้นใช้ความเร็วเท่าไร โดยบอกว่าขณะนั้นใช้ความเร็วประมาณไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไม่ฟังพยานหลักฐานเรื่องความเร็วที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง โดยชุดการสอบสวนของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานคดี ซึ่งการสอบสวนในชั้นต้นนั้นระบุว่าใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 179 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และก็มีการแก้ไขความเร็วในชั้นต่อมา โดยมีข้าราชการในหลายส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ด้วย” นายพชรกล่าว
สำนักข่าวอิศรา รายงานรายละเอียดด้วย ประธาน ก.อ.ระบุว่า เรื่องนี้ปรากฏชัดเจนว่ามีกระบวนการเพื่อแก้ไขความเร็วรถของนายวรยุทธเพื่อให้มีความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“มีการให้ข้อมูลจากทางผู้เชี่ยวชาญว่า ได้รับการร้องขอให้มีการแก้ไขความเร็วให้เกิดขึ้น จนนำไปสู่การเบี่ยงเบนในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น เมื่อนายเนตรเอาความเห็นตรงนี้มาใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ทั้งๆ ที่นายวรยุทธได้มีการขอความเป็นธรรมมาทั้งหมด 13 ครั้ง ซึ่งผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุดมาถึงประมาณ 4-5 ท่าน ซึ่งทั้งหมดก็ไม่ได้ยอมรับคำให้การของนายจารุชาติและ พล.อ.ท.จักรกฤช มาให้เป็นพยานหลักฐาน เพราะว่าพยานสองปากนั้นมาจากหลังเกิดเหตุแล้วประมาณสองปี แต่ว่ามีพยานปากหนึ่งเป็นชาวเมียนมา ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ เห็นเหตุรถชนกัน จนกระทั่งเหตุการณ์ที่รถของนายวรยุทธได้ลากร่างของผู้เสียชีวิตไปกว่า 169 เมตร”
2. กรณีความผิดทางอาญาของนายเนตร นาคสุข ขณะนี้ ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวน
จะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่? อย่างไร?
ป.ป.ช.ได้มีการตั้งองค์คณะไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา โดย ป.ป.ช.ชุดใหม่ แต่จนบัดนี้ ยังไม่มีข้อสรุปออกมาแต่อย่างใด
3. ก่อนหน้านี้ ปรากฏว่า นายเนตร นาคสุข ยังได้ยื่นสมัครเป็น ป.ป.ช.เอาไว้ด้วย
4. คดีฟอกเงินกรุงไทย ที่นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย
นายพานทองแท้รอดคุก หลังศาลปราบโกงมีคำพิพากษาชั้นต้นยกฟ้อง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2562
และคดีดังกล่าวยุติลงไป ก็เพราะอัยการตัดสินใจไม่ยื่นอุทธรณ์
คดีนี้ มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 คน ความเห็นแย้งกัน คนหนึ่งชี้ว่าพานทองแท้ผิดฐานฟอกเงิน อีกคนเห็นว่าไม่ผิด สุดท้าย ศาลต้องดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 184 ที่ระบุให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า จึงทำให้พานทองแท้ได้รับอานิสงส์ยกฟ้อง
คดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 แม้คำพิพากษาจะออกมาว่า ยกฟ้อง แต่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษาด้วย โดยชี้ประเด็นข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และรายละเอียดสำคัญ ระบุว่า... จำเลยรู้หรือควรรู้ว่าเงิน 10 ล้านบาทที่ได้รับมาจากนายวิชัยเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อธนาคารกรุงไทยที่อนุมัติให้เครือกฤษดามหานคร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี...
แทนที่อัยการจะอุทธรณ์คดี โดยนำความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีมาประกอบ เพื่อให้ศาลสูงพิจารณาชี้ขาดให้สิ้นกระแสความ แต่รองอัยการสูงสุดขณะนั้น ชี้ขาดว่าไม่อุทธรณ์คดี
บุคคลที่ชี้ขาดว่าไม่อุทธรณ์ ก็คือ นายเนตร นาคสุข นั่นเอง
สุดท้าย ศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีโอกาสได้พิจารณาคดีในชั้นต่อไป
พานทองแท้ บุตรชายของนายทักษิณ จึงรอดพ้นคดีไปอย่างอื้ออึง
โดยกรณีนี้ ทางองค์กรสูงสุด ก็ยังไม่เคยชี้แจง ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการใช้ดุลพินิจของรองอัยการสูงสุดดังกล่าวว่าถูกต้อง เหมาะสม เพียงใด
โอ๊คช่างโชคดี ที่คดีมาอยู่ในมือของ “เนตร นาคสุข”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี