จากสถานการณ์สงครามยูเครน ได้เปิดเผยความจริงอย่างชัดเจนว่าโลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือขั้วนาโตที่มีประชากรราว 500ล้านคน และขั้วองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรกว่า 5,000 ล้านคน
ขั้วนาโตได้ดำเนินยุทธศาสตร์ “ความขัดแย้งและสงคราม” ต่อเนื่องมานับตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเข้าไปมีส่วนหรือเป็นผู้สร้างความขัดแย้งขึ้นในภูมิภาคต่างๆ และในประเทศต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นสงคราม ทั้งสงครามกลางเมืองในประเทศและสงครามระหว่างประเทศ
และเมื่อเกิดเป็นสงครามขึ้นแล้วก็ได้อำนวยประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ประเทศแกนหลักของนาโตโดยเฉพาะคืออังกฤษ สหรัฐ ออสเตรเลีย และอิสราเอล เพราะยิ่งมีความขัดแย้งหรือสงครามมากเท่าใด รุนแรงมากเท่าใด ก็สามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศที่เกิดสงครามนั้นมากขึ้นเท่านั้น สงครามยิ่งขยายตัวไปในโลกมากเท่าใด เศรษฐกิจสงครามก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเท่านั้นจนกลายเป็นยาเสพติด
ส่วนขั้วองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ได้ถือยุทธศาสตร์ “สันติภาพและการพัฒนา” หรือที่เรียกในช่วงแรกว่ายุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง และปรับเปลี่ยนเป็นยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมที่มุ่งสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นทุกหนแห่ง เพราะเมื่อมีสันติภาพเกิดขึ้นก็จะเป็นรากฐานของการพัฒนา เกิดการร่วมค้าขาย ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนในทุกมิติ
โลกดำรงอยู่ได้เพราะสันติภาพและการพัฒนา เวลาของมวลมนุษยชาติโดยพื้นฐานเป็นเวลาของสันติภาพและการพัฒนา เพราะสันติภาพและการพัฒนานั้นเป็นความต้องการพื้นฐานของมวลมนุษย์
แต่ทว่าความขัดแย้งก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเมื่อความขัดแย้งไม่สามารถแก้ไขได้โดยทางการเมืองก็จะยกระดับเป็นสงครามขึ้น แต่ถ้าเทียบห้วงเวลาทั้งหมดของมวลมนุษย์ในประวัติศาสตร์แล้ว โลกจะอยู่ในห้วงเวลาของสันติภาพและการพัฒนามากกว่าห้วงที่เป็นความขัดแย้งและสงคราม
นั่นเพราะสันติภาพและการพัฒนาเป็นความปรารถนาร่วมกันของมวลมนุษย์ แต่ทว่ายุคสมัยปัจจุบันนี้ความขัดแย้งและสงครามได้ลุกลามขยายตัวไปทั่วทุกปริมณฑลของโลก และเมื่อเกิดกระแสสันติภาพและการพัฒนาขึ้นซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของมวลมนุษย์ ดังนั้นสันติภาพและการพัฒนาจึงขยายตัวไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
กล่าวสำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่พื้นที่มหาสมุทรอินเดีย พื้นที่อาเซียน และพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกก็เป็นไปตามยุคสมัยของโลก คือเป็นยุคสมัยที่เกิดการปะทะกันระหว่างยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามกับยุทธศาสตร์สันติภาพและการพัฒนา ในขณะที่ประเทศจำนวนมากกำลังไหลหลั่งเข้าร่วมกับยุทธศาสตร์สันติภาพและการพัฒนา และปรับตัวถอยห่างออกมาจากความขัดแย้งและสงคราม
ในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมี 10 ประเทศ เป็นภูมิภาคสำคัญในเชิงภูมิยุทธศาสตร์ของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพราะเป็นพื้นที่อยู่ใกล้ประเทศจีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ เป็นพื้นที่ที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย ที่ด้านซ้ายมือก็เป็นมหาสมุทรอินเดีย ด้านขวามือก็เป็นมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านบนขึ้นไปก็สามารถกดดันไปที่รัสเซีย อิหร่าน จีน และเกาหลีเหนือได้
และในภูมิภาคอาเซียนนี้ประเทศไทยก็ตั้งอยู่ในภูมิยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญมากที่สุด จึงถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 6 แกนหลักของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก หรือที่จีนเรียกว่านาโต 2
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์และการกระทำมากหลายที่ทำให้ภาคประชาชนตั้งข้อสงสัยและกล่าวหาว่ามีการลักลอบปกปิดนำประเทศไทยเข้าร่วมนาโต 2 ที่มุ่งต่อต้านคัดค้าน และเป็นปรปักษ์กับจีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ทั้งเกิดปฏิบัติการอีกมากหลายที่เป็นไปในทิศทางร่วมมือหรือเป็นหนึ่งเดียวกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่สำคัญคือการยกเลิกเพิกถอนบรรดาข้อตกลงทั้งหลายที่ประเทศไทยได้ทำกับประเทศจีน รัสเซีย อิหร่าน แม้กระทั่งไม่ทำมาค้าขายกับบางประเทศในกลุ่มนี้ ทั้งที่เป็นประโยชน์แห่งชาติที่เห็นได้ชัด
ครั้นประชาชนชาวไทยได้ตื่นรู้ขึ้นก็เกิดกระแสต่อต้านนาโต 2 อย่างกว้างขวางทุกภาคส่วน ไม่ว่าฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ข้าราชการ และประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า แม้กลุ่มคนที่มีความขัดแย้งระหว่างสีก็หันกลับมาสามัคคีกัน เพราะต้องการกอบกู้ปัญหาของประเทศชาติที่เห็นว่าร้ายแรงถึงขนาดจะทำให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
กระแสต้านนาโต 2 สะเทือนฟ้าสะท้านดินดังนั้นจึงทำให้ผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องตื่นตระหนกและหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงการต่อต้านของภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะข้อหาขายชาติ ข้อหาชักศึกเข้าบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีว่าถ้าความจริงปรากฏชัดว่าใครมีการกระทำเช่นนั้นแล้วก็เหมือนตกนรกหมกไหม้ไปชั่วกาลนาน
ดังนั้นจึงมีปรากฏการณ์ปรับเปลี่ยนท่าทีดังที่ปรากฏในแถลงการณ์ร่วมของกลุ่มอาเซียน ในช่วงที่มีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ที่วอชิงตันครั้งล่าสุด ที่ประกาศเจตนารมณ์ของอาเซียนว่าจะวางตนเป็นกลาง และจะร่วมมือในการสร้างสันติภาพและการพัฒนากับประเทศทั้งหลาย จะไม่ตั้งตนเป็นศัตรู หรือต่อต้าน หรือก่อความขัดแย้ง หรือทำสงครามกับประเทศใด ทั้งปรารถนาที่จะให้ทุกประเทศร่วมมือกัน อำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งไม่ประณามรัสเซีย
แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญของประเทศไทย แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้ประชุมทวิภาคีกับฝ่ายกลาโหมของสหรัฐเพื่อความร่วมมือทางการทหาร เพื่อต่อต้านภัยคุกคาม ซึ่งทำให้เกิดความกังขาขึ้นว่าผลการหารือทวิภาคีเช่นนี้จะไปลบล้างจุดยืนของประเทศไทยตามแถลงการณ์ร่วมของอาเซียนหรือไม่
ปรากฏว่าหลังการประชุมสุดยอด ประเทศอาเซียนหลายประเทศได้เจรจาหารือในทางที่เป็นผลประโยชน์ของชาติเหล่านั้น เช่น อินโดนีเซียก็ได้เจรจาดึงการลงทุนของสเปซเอ็กซ์และรถยนต์เทสลาของนายอีลอน มัสก์ เพื่อให้ไปลงทุนในอินโดนีเซีย กัมพูชาก็หารือเรื่องดึงการลงทุนเข้าสู่กัมพูชา ในขณะที่เวียดนามก็ได้หารือดึงการลงทุนจำนวนมากเข้าสู่เวียดนาม
แต่ประเทศไทยกลับหารือในเรื่องการซื้อเครื่องบิน F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบสมรรถนะสูงของสหรัฐเป็นมูลค่า 13,500 ล้านบาท
ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าความเป็นกลางของประเทศไทยตามแถลงการณ์ของอาเซียนนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป เพราะสิ่งที่คิดกันว่าวิธีการของศรีธนญชัยนั้นอย่าคิดว่าจะใช้ได้ในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะไม่มีใครโง่กว่าใครอีกแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี