การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ถ่วงรั้งกันมานานเกือบสิบปี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว ผลที่ไม่เป็นทางการคือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับชัยชนะแบบถล่มทลาย ทำลายสถิติผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คือผลคะแนนของนายชัชชาติสิทธิพันธุ์ คนเดียวมากกว่าผลรวมคะแนนของผู้สมัครคนอื่นทุกคนรวมกัน
ในขณะที่ผลการเลือกตั้ง สก. ก็ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นชนิดขาดลอยเช่นเดียวกัน
ผลการเลือกตั้งทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสก. ได้ทำลายกลยุทธ์ลวงโลกทางการเมืองที่เคยใช้ได้ผลในอดีตที่ว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ให้พังพินาศย่อยยับไปกับตา โดย “เรา” ที่ว่านี้ก็หมายถึงผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรวม 3 คน จากพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัครที่เปิดตัวว่าสมัครอิสระ แต่มีพรรคการเมืองใหญ่ของรัฐบาลสองพรรคสนับสนุนอยู่ข้างหลัง นี่คือกลุ่มที่เรียกว่า “เรา” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันทั้งประเทศว่าหมายถึงกลุ่มที่สนับสนุนกลุ่ม 3 ป. และเป็นตัวแทนของกลุ่ม 3 ป. ในการสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้
ในระหว่างการเลือกตั้ง นอกจากเป็นการรณรงค์เลือกตั้งทั่วไปแล้ว ยังมีการรณรงค์เลือกตั้งแบบสุดโต่งสองจำพวก คือ
จำพวกหนึ่ง คือจำพวกโหนเจ้า แอบอ้างเจ้า ถึงขนาดถ้าฟังความจริงแล้วแทบไม่เชื่อว่าจะบังอาจกล้าพูดจาในลักษณะเช่นนั้น เฉพาะที่เปิดเผยภายนอกคืออวดอ้างว่าเป็นพวกที่จงรักภักดีต่อสถาบันแต่เพียงผู้เดียว ผู้สมัครคนอื่นไม่จงรักภักดี และเรียกร้องให้บรรดาผู้จงรักภักดีลงคะแนนให้พวกตน
ที่เรียกว่าพวกนี้สุดโต่งก็เพราะว่าเป็นการแอบอ้างโดยไม่ยำเกรงกฎหมายและไม่แยแสต่อความรู้สึกของประชาชน ซึ่งทราบความจริงและโดยไม่ทราบสถานการณ์ว่าประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงแล้ว การแอบอ้างโหนเจ้าจึงเป็นอันตรายต่อสถาบัน เพราะเป็นการลากสถาบันมาพ่ายแพ้ด้วยโดยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย นี่จึงจัดว่าเป็นพวกสุดโต่งขวาจัด
อีกพวกหนึ่ง คือพวกบ่อนทำลายเจ้า หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพวกล้มเจ้า พวกนี้ฉวยโอกาสเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบัน ถึงขั้นต้องการที่จะให้พื้นที่กรุงเทพมหานครไม่มีรูปพระมหากษัตริย์อยู่เลย ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าสถาบันอยู่เหนือการเมือง และมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองขับเคี่ยวกัน
แม้พระองค์ตรัสต่อหน้าประชาชนจำนวนมากในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศ พระองค์ได้ยืนยันว่าพระองค์ทรงรักทุกคนทุกฝ่ายเสมอกัน ซึ่งเป็นข่าวดังลั่นสนั่นโลกให้ทุกคนได้ทราบกันอยู่แล้ว แต่คนพวกนี้ก็ไม่วายที่จะดึงฟ้าต่ำเพื่อทำหินแตกแยกแผ่นดิน ฉวยโอกาสในการหาเสียงเลือกตั้งบ่อนเซาะสถาบันร่ำไป พวกนี้จึงจัดเป็นพวกสุดโต่งหรือเป็นพวกซ้ายจัด
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นอย่างเดียวกันกับผลการเลือกตั้ง สส. เขต 9 หลักสี่ คือประชาชนพร้อมใจกันลงทัณฑ์พวกสุดโต่งทั้งสองพวกนี้อย่างเจ็บปวด โดยทั้งสองพวกนี้ได้คะแนนเสียงเพียงน้อยนิด ทั้งที่ผลโพลล์แบบมั่วหรือไม่มั่วก็ระบุว่าจะได้คะแนนมากกว่านั้นจำนวนมาก
โดยสรุปก็คือผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งนี้ประชาชนได้พร้อมใจกันลงทัณฑ์สั่งสอนพวกสุดโต่งทั้งสองขั้วทั้งขวาจัดและซ้ายจัดอย่างเจ็บแสบ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่จะใช้วิธีการสุดโต่งนี้ต่อไป
แต่ผลการเลือกตั้งนั้นก็สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนปฏิเสธอำนาจปกครองของกลุ่ม 3 ป. อย่างชัดเจน คะแนนเสียงของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ใช่คะแนนเสียงของพวกเอาทักษิณแต่เป็นเสียงของประชาชนที่ไม่เอา คสช. หรือระบบการสืบทอดอำนาจของ คสช. และให้บทเรียนชนิดไม่เกรงใจกันอีกต่อไปแล้ว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ในลักษณะชูธงความสามัคคีที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวกรุงเทพฯ และพัฒนาเมืองหลวงแห่งนี้ให้พ้นจากสภาพทรุดโทรมและเต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉลอย่างกว้างขวาง เพื่อตอบสนองความปรารถนาของชาวกรุงเทพฯ เพื่อทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่น่าอยู่ของทุกคน
ดังนั้นประชาชนที่มีน้ำใจหวังพัฒนาชาติบ้านเมือง แก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง และทำนุบำรุงเมืองหลวงที่ล้ำเลิศแห่งนี้ให้เป็นเมืองหลวงของทุกคนที่สวยงาม สงบ ร่มเย็น และเจริญรุ่งเรือง จึงพร้อมเพรียงน้ำใจเทคะแนนเสียงให้กับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้สะเทือนสะท้านการเมืองของประเทศไทยครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ คสช. ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และแสดงออกอย่างชัดเจนโดยผลการลงคะแนนให้กับผู้สมัครของผู้ที่อยู่ฝ่าย คสช. จนพ่ายแพ้ยับเยิน แม้ว่าจะมีการใช้พลังทางการเมืองมากมาย
ความพ่ายแพ้นั้นปรากฏชัดแม้ในเขตทหาร ซึ่งขบวนการเกาะ คสช. รู้สึกประหวั่นพรั่นใจในความพ่ายแพ้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งและกดดันให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองส่งสัญญาณและสั่งการให้ชัดเจนว่าผู้สมัครฝ่าย คสช. 3 คนนั้นจะสนับสนุนใครกันแน่ แต่ก็ไม่ได้ผล
ผลคะแนนในเขตทหารหลายหน่วยปรากฏว่านายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้คะแนนนำโด่ง มีเพียงบางหน่วยเท่านั้นที่ผู้สมัครฝ่าย คสช. ได้รับชัยชนะแต่เพียงเล็กน้อย แต่ข้อน่าสังเกตก็คือคะแนนเสียงของผู้สมัครที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนมีคะแนนไม่ได้ด้อยกว่าผู้สมัครที่เป็นฝ่าย คสช. บางคนเลย
อาการแปลกแยกจากผลการลงคะแนนในพื้นที่เขตทหารเป็นนัยสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความตื่นตัวและความรับรู้ความจริงของฝ่ายทหาร ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบางหน่วยและมีจำนวนผู้คนในหน่วยเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นภาพสะท้อนภาพรวมของฝ่ายทหารด้วย ซึ่งประการนี้จะต้องพินิจพิเคราะห์ให้จงหนักว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ก้าวไปถึงไหน
คือเป็นเพียงความต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากกลุ่ม 3 ป. หรือจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น นี่คือจุดเปราะบางที่จะมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด
ขณะที่ผลการเลือกตั้งยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่กลับปรากฏว่ามีการเคลื่อนไหวของพวกไสยศาสตร์ทางกฎหมายที่จะเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสกัดไม่ให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยจะอาศัยศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยในเรื่องที่กำลังตั้งประเด็นกันอยู่
ก็ได้แต่หวังว่าขบวนการไสยศาสตร์ทางกฎหมายจะสำเหนียกสถานการณ์ให้ทันท่วงที อย่าฝืนฟ้าฝืนดินไปมากกว่านี้ เพราะถ้าหากใช้วิธีไสยศาสตร์ทางกฎหมายในเรื่องที่ไร้เหตุไร้ผล ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการจุดชนวนให้กับหัวใจของชาวกรุงเทพฯ ที่จะพร้อมเพรียงน้ำใจกันลุกฮือขึ้นเพื่อเรียกเอาบุคคลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่ให้จงได้
ชัยชนะอันท่วมท้นครั้งนี้ในทางการเมืองแล้วถ้าเป็นประเทศอื่นๆ ก็จะมีการประกาศรับรองผลด้วยความเคารพต่อฉันทามติของประชาชน แต่ในบ้านเมืองเรานั้นก็จะต้องจับตาดูกันต่อไป แต่แม้กระนั้นแม้จะได้รับชัยชนะอย่างท่วมทัน แต่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ยังจำเป็นต้องฝ่าฟันปัญหาเบื้องต้นหลายประการ มิฉะนั้นก็จะถูกหยิบยกมาขัดขวางการบริหารกรุงเทพมหานคร
เรื่องสำคัญที่เป็นปัญหาเผชิญหน้าเร่งด่วนของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คือ
ประการแรก ขณะนี้กำลังย่างเข้าฤดูฝน ช่วงสิบวันที่ผ่านมาแค่ฝนตกมาน้ำก็ท่วมขังในหลายพื้นที่ ในทันทีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ารับตำแหน่งก็ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมขัง และจะถูกหยิบฉวยโจมตีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพื่อทำลายความเชื่อถือเสียแต่ต้นมือ
ประการที่สอง ขณะนี้ใกล้เริ่มต้นปีงบประมาณ 2566 งบประมาณของกรุงเทพฯ ได้ผ่านการพิจารณาในชั้นบริหารไปหมดแล้ว ซึ่งจำนวนมากไม่สนองตอบต่อนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะต้องรีบพิจารณาปรับปรุงเพื่อให้สนองต่อนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ทันท่วงที
ประการที่สาม ปัญหาหนี้สินของกรุงเทพฯ จากเรื่องที่มีเงื่อนงำสองรายการ คือการเดินรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าเป็นวงเงินรวมกันเกือบ 100,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงมหาดไทยก็ไม่เห็นชอบให้ชำระหนี้ดังกล่าว จะต้องรีบตั้งคณะทำงานสองชุดเพื่อชำระสะสางและแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด
ประการที่สี่ ปัญหาการทำมาหากินของชาวกรุงเทพฯ ที่คนหาเช้ากินค่ำทำมาหากินไม่ได้ หรือถูกรีดไถทุกหัวระแหง จะต้องรีบบรรเทาความทุกข์ร้อนนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
นี่คือปัญหาเฉพาะหน้าสี่ประการที่จะต้องแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายความเชื่อถือของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่
สำหรับชาวกรุงเทพฯ ก็ต้องรู้เท่าทันเหตุการณ์และสภาพความเรื้อรังของปัญหาที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนให้การทำงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่สามารถตอบสนองความปรารถนาของชาวกรุงเทพฯ โดยไม่ไขว้เขวไปกับเรื่องเก่าเรื้อรังที่ตกทอดมาและจะต้องแก้ไขปัญหาก่อน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี