“Cyberbullying” หรือการรังแก-ระรานทางออนไลน์ก่อความเดือดร้อนรำคาญและส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตทั้งของผู้ถูกกระทำและคนอื่นๆ ที่พบเห็น เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร ต้นทุนการใช้อินเตอร์เนตราคาถูกลง แม้จะเป็นประโยชน์ต่อการแสวงหาความรู้และรับข้อมูลข่าวสาร แน่นอนว่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่ที่เข้ามาท่องโลกออนไลน์ บวกกับส่วนใหญ่แล้วไม่ต้องแสดงตัวตนจริง ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะควบคุมไม่ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
ที่งานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “Cyberbullying วิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน รับมืออย่างไรเมื่อ Social Media มีอิทธิพลต่อคนในสังคมมากกว่าที่คิด”จัดโดย กองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เมื่อเร็วๆ นี้ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การบูลลี่ (Bully) หรือการรังแกกันมีมานานแล้ว แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคออนไลน์และไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นติดอันดับโลก จึงทำให้การพูดแหย่หรือล้อเลียนกันเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ในต่างประเทศเวลามีปัญหากันก็พูดกันต่อหน้า เมื่อจบปัญหาก็เลยพูดกันไป ซึ่งในไทยคำพูดบางอย่างจะไม่พูดกัน เนื่องจากไม่กล้าที่จะพูดคุยต่อหน้า แต่เมื่ออยู่ในโลกออนไลน์ที่ไม่มีใครรู้จัก จึงเป็นการเปิดพื้นที่ในการบูลลี่คนอื่นผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งการบูลลี่คนอื่นมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1.ความตั้งใจ เป็นการตั้งใจให้เกิดผลกระทบต่อผู้อื่น 2.การเจ็บปวด ซึ่งตั้งใจให้เกิดการเจ็บปวด หรือการบาดเจ็บ เช่น การชกต่อยกันในโรงเรียน แกล้งผลักกัน โดยโลกออนไลน์สามารถทำได้และรุนแรงถึงขั้นชีวิต
3.การข่มขู่ ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ฉะนั้นการพูดข่มขู่เป็นการบูลลี่อีกรูปแบบหนึ่ง 4.การบังคับ ถ้าหากไม่ทำตามจะทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นการกดดันให้ทำตาม และ 5.ผู้ที่มีอำนาจอ่อนแอ ซึ่งเป็นการแสดงอำนาจที่คนหนึ่งรู้สึกมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง คนที่ต่ำกว่าจะไม่รู้สึกว่ามีอำนาจมาบูลลี่คนอื่น แต่ว่าคนที่ทำจะรู้สึกว่ามีอำนาจ ซึ่งในปัจจุบันทำให้ Cyberbullying หรือ การระรานทางไซเบอร์ มีความรุนแรงขึ้น และกระทำบ่อยขึ้น และอาจจะไม่ได้กระทำคนเดียวแต่กระทำกันเป็นระบบ จึงทำให้ไม่สามารถหนีจากสิ่งเหล่านี้ได้” ผศ.ดร.วรัชญ์ กล่าว
ผศ.ดร.วรัชญ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อชุมชนเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ จึงมีความพยายามสร้างตนเองให้เหนือกว่าคนอื่นด้วยการ Cyberbullying เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสูงขึ้นมา ยิ่งมีคนมากเท่าไรต่างคนก็ชิงดีชิงเด่น ดังที่มีคำว่า “หิวแสง” กันมากขึ้น หลายคนจึงหาแสงให้ตัวเองเพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะอยู่ได้เพราะยอดไลค์และยอดแชร์ต่างๆ ฉะนั้นจะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้ประเด็นขึ้นมา
ซึ่งการด่าทอผู้อื่นจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ดังขึ้นมา และบางครั้งถึงขั้นไปแกล้งผู้อื่นด้วย และหลายครั้งเป็นคนใกล้ตัวของตนที่โดนแกล้ง จึงทำให้หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ นอกจากนี้การบูลลี่ยังมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น บูลลี่ด้วยการ “Gaslighting” หรือ “การปั่นหัว” ทำให้ผู้ถูกกระทำมีความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง
ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า รูปแบบการบูลลี่มีประมาณ 5 แบบ ได้แก่การล้อเลียน การสร้างข่าวปลอม การกีดกันออกจากกลุ่มการปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น และ “การด่าทอ” ซึ่งกรณีนี้ไทยก็คงเหมือนกับทั่วโลก เนื่องจากการด่าทอนั้นง่ายและทำได้ตลอดเวลา อีกทั้งคนไทยมีความสร้างสรรค์คำพูดในการด่าทอเป็นจำนวนมากกว่าประเทศอื่นที่มีคำพูดด่าทอกัน อาทิ คำว่า Bitch (โสเภณี)ในประเทศไทยสามารถทำให้เป็นคำด่าทอได้หลายคำ
แต่การที่คนในสังคมออนไลน์เสพติดการบูลลี่ สะท้อนให้เห็นถึงการไม่มีอารยะหรือการเจริญเติบโตของคนในสังคม ถ้าสังคมมีความเป็นอารยะเรื่องการบูลลี่จะกลายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และจะมีความเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องสั่งสอนคนในสังคม นอกจากนี้สังคมออนไลน์ยังทำให้เกิด Cyberbullying ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้ใครทำอะไรกับใครก็ได้ และยังสามารถเรียกคนอื่นมาทำได้อีกด้วย จึงทำให้ขยายวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่ตกเป็นเหยื่อในสังคมออนไลน์ จึงทำให้เรื่องของ Cyberbullying มีอยู่ทั่วโลก
“ที่ไหนๆ ก็มีการล้อเลียน หรือมีรายการที่ตลกขบขัน เพียงแต่ว่าควรจะจำกัดอยู่ในกรอบ เนื่องจากคนขาดความยั้งคิด ซึ่งเรื่องนี้ยังส่งผลต่อเด็กอีกด้วย จึงควรมีการสั่งสอนเด็กไม่สกัดเรื่องดังกล่าวไม่ให้บานปลาย สำหรับในสังคมไทยเรื่องนี้มันลุกลามไปหมดในสังคม ฉะนั้นทุกคนควรทำให้เรื่อง Cyberbullying เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนควรคำนึงถึง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น” ผศ.ดร.วิมลทิพย์ กล่าว
ด้าน วัชรพล นนท์ภัคดี Content Creator / Online Influence ให้ความเห็นว่า “รูปร่างหน้าตา” เป็นเรื่องที่พบการบูลลี่ได้บ่อย รวมถึงตนเองก็มีปมกับเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กเพราะหน้าตาดูเป็นรูปเหลี่ยมจึงถูกล้อว่าเหมือนคนอีสาน ทำให้ไม่มั่นใจในตนเอง พอเข้าสู่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้หน้าตาดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งเปลี่ยนแปลงคนยิ่งมอง ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวประหลาด ยิ่งเพิ่มแผลในใจเพิ่มขึ้นจากเดิม
ส่วนการรังแกกันทางออนไลน์ มองว่าที่เกิดขึ้นมากเพราะมีความเห็นอกเห็นใจกันลดลง หากคนเราเห็นอกเห็นใจกันจะรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ เพราะเป็นการสร้างความอับอายและความไม่มั่นใจต่อผู้โดนกระทำ เป็นการลดทอนคุณค่าและตัวตนของผู้โดนกระทำดังนั้นจึงต้องมีสติก่อนที่จะกระทำสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในแอปพลิเคชั่นซึ่งเด็กและเยาวชนใช้งานเป็นจำนวนมากอาจทำให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ได้
“ต้องเตือนน้องๆ ที่เป็น Gen (รุ่น) ใหม่ ต้องมีสติ และที่ต้องเตือนคือผู้ปกครอง จะต้องสอดส่องดูแลลูกอย่างดีที่สุด เพราะว่าสังคมออนไลน์เปรียบเหมือนดาบสองคมอย่างแท้จริง และอย่ามองว่าเป็นเรื่องตลกหรือเป็นแค่เรื่องล้อเลียน เพราะการบูลลี่คือความรุนแรง” วัชรพล กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี