ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศให้โรคระบาดร้ายแรงที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าโรคโควิด-19 ว่าเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทยไม่เกินวันที่ 1 กรกฎาคมนี้แน่นอน ซึ่งหากดูจากสถานการณ์ของการติดเชื้อในขณะนี้ ก็เชื่อว่าการประกาศดังกล่าว จะเกิดผลดีต่อภาพรวมของประเทศเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวัน ได้ลดลงมาสู่ระดับ 4,000 ราย ซึ่งในรอบสัปดาห์ที่แล้ว มีบางวันซึ่งลดลงต่ำกว่านั้น รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตซึ่งถึงแม้จะยังมากกว่า 30 ราย แต่ก็เช่นเดียวกัน มีบางวันที่มีผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 30 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถึงแม้จะมีอยู่ในทุกจังหวัด แต่ก็ลดลงตามลำดับ รวมทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะอยู่ที่ระดับประมาณ 2,000 รายต่อวัน ซึ่งทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถควบคุมการระบาดได้แล้ว
ปัจจัยที่ทำให้การควบคุมการระบาดของโรคดำเนินไปในทิศทางที่ดีนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งเป็นเชื้อหลักในขณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการที่รุนแรง ยกเว้นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และประชากรกลุ่มเสี่ยง คือผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปีและผู้ที่มีโรคเรื้อรังกลุ่ม 608 ซึ่งผู้เสียชีวิตในแต่ละวันขณะนี้ จะอยู่ในกลุ่มที่กล่าวถึงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจัยที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง คือการที่ประชาชนชาวไทยได้รับ การดูแลเป็นอย่างดีจากภาครัฐ ในการจัดหาวัคซีนหลากหลายชนิดอย่างเพียงพอรวมทั้งพัฒนาวิธีการในการฉีดวัคซีนข้ามชนิด ที่ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงเพียงพอต่อการป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงในกรณีที่มีการติดเชื้อ
จนถึงวันนี้ มีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีน 1 เข็มแล้ว เกือบจะถึง 57 ล้านราย คิดเป็น 82 เปอร์เซ็นต์ ฉีดเข็มที่ 2 แล้วมากกว่า 52 ล้านราย คิดเป็น 76 เปอร์เซ็นต์ และฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็ม Boosterแล้วประมาณ 28 ล้านราย คิดเป็น 42 เปอร์เซ็นต์ การที่ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็มเกินกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่มีความสำคัญ ที่เชื่อกันว่าทำให้เกิดสภาพการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศได้แล้ว และหากสามารถเพิ่มจำนวนผู้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นให้ได้มากเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการระบาดหรือมีอาการรุนแรงเมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง รวมทั้งจำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนมีมากเพียงพอ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง คือการที่ประชาชนคนไทยได้ปฏิบัติตนตามมาตรการต่างๆ รวมทั้งการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ นั่นคือการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อออกนอกบ้าน การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล และการล้างมือด้วยน้ำยาที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้ ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ในการควบคุมการระบาดครั้งนี้
จากเหตุและผลดังกล่าว จึงทำให้กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอข้อมูลให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. พิจารณาในการปรับลดมาตรการที่เข้มแข็งบางอย่างลง ทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ของแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับการระบาดที่เกิดขึ้น โดยการเพิ่มพื้นที่สีฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มากขึ้น เพิ่มจำนวนพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง และลดจำนวนพื้นที่สีเหลือง ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุม รวมทั้งการอนุญาตให้กิจกรรมสาธารณะต่างๆ รวมทั้งธุรกิจหลายรูปแบบ ให้กลับมาดำเนินการได้ในสภาพเกือบจะปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป และยังได้เตรียมการประกาศให้วันที่ 15 มิถุนายนที่จะถึง เป็นวันที่ประชาชนทั่วไปไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป ยกเว้นเพียงแค่ 3 กรณีคือ กลุ่มผู้มีความเสี่ยงและโรคเรื้อรัง 608 การไปในสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก และการจัดกิจกรรมกลุ่มขนาดใหญ่ เท่านั้น และทั้งหมดนี้คือการเตรียมการเปลี่ยนผ่านโรคโควิด-19 จากโรคระบาดไปเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหลายประเทศได้ดำเนินการแล้วตามบริบทของแต่ละประเทศ โดยไม่ได้ยึดโยงกับตัวเลขที่เคยใช้กันว่า หากอัตราการเสียชีวิตของโรคที่เกิดขึ้นยังมากกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ จะยังไม่สามารถเปลี่ยนให้โรคนั้นๆ เป็นโรคประจำถิ่นได้
ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกที่สหพันธรัฐสวิสเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทยได้เข้าร่วมประชุม และได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวบนเวทีด้วยนั้น ได้มีการนำเสนอถึงแนวทางการจัดการและควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยอย่างได้ผล ซึ่งได้รับคำชมเชยจากที่ประชุมเป็นอย่างมาก โดยหลายประเทศได้ติดต่อขอเข้ามาศึกษาดูงานการดำเนินการของประเทศไทยในเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติยศของประเทศเรา ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในโลกนี้ที่เป็นตัวอย่างที่ดีมากของระบบบริการสุขภาพที่ได้จัดให้กับประชาชนทั้งประเทศ จากการบูรณาการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ที่ทำให้ประชาชนคนไทยไม่ต้องมีภาระค่ารักษาพยาบาลในยามที่เจ็บป่วยอีกต่อไป
ในวันที่ 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้โรงเรียนที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศ จะเปิดเรียน และจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติแล้ว เพียงแต่ทุกโรงเรียนต้องดำเนินการตามมาตรการในการควบคุมป้องกันโรคตามแนวทางที่ได้ถูกกำหนดไว้ เรื่องนี้ยังก่อให้เกิดความกังวลอยู่บ้างว่า การเปิดโรงเรียนนั้นจะทำให้โรคโควิด-19 กลับมาเริ่มต้นระบาดอีกครั้งหนึ่ง จากโรงเรียนไปสู่ชุมชนและแหล่งอื่นๆ หรือไม่ทุกโรงเรียนจึงต้องเน้นในเรื่องของการที่ให้เด็กนักเรียนได้รับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามความยินยอมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนแล้วว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย ซึ่งทำให้จำนวนเด็กนักเรียนในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ขวบได้รับการฉีดวัคซีน อย่างน้อย 1 เข็มไปแล้วมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และกำลังทยอยเข้ารับการฉีดเข็ม 2 อย่างต่อเนื่อง ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 12-17 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อน ได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ไปแล้ว มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ และกำลังทยอยเข้าฉีดเข็มที่ 3หลังจากนั้นอีก 4-6 เดือน ฉะนั้นหากสามารถทำให้เด็กกลุ่มอายุ 5-11 ขวบ ได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็มมากขึ้น ก็จะสร้างความเชื่อมั่นว่าโรคดังกล่าวน่าจะถูกควบคุมได้ดีขึ้น หรือหากมีการติดเชื้อก็ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรงอย่างแน่นอน ก็หวังว่าในระยะเวลา 1 เดือนจากนี้ไป จะไม่พบตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนจากโรงเรียนและสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้การประกาศว่าโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคมเป็นไปได้โดยสมบูรณ์
การฉีดวัคซีนในเด็กเล็กอายุ 5-11 ขวบนั้น แต่เดิมวัคซีนที่ใช้ฉีดจะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายและ/หรือร่วมกับวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ โดยวัคซีนของไฟเซอร์นั้น จะเป็นวัคซีนเฉพาะสำหรับเด็ก ซึ่งจะมีปริมาณวัคซีนเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 8 สัปดาห์ ซึ่งยังใช้สูตรนี้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเออีกตัวหนึ่งที่สั่งเข้ามาโดยภาคเอกชน คือวัคซีนโมเดอร์นาก็ได้รับการอนุมัติให้ใช้ฉีดในเด็กช่วงอายุดังกล่าวได้แล้ว โดยฉีดเพียงครึ่งโดสเข้ากล้ามเนื้อ และเว้นระยะห่าง 8-12 สัปดาห์เพื่อฉีดเข็มที่ 2 ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าและผลข้างเคียงต่ำกว่าการเว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ จึงเป็นทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้พิจารณา
และขณะนี้ได้มีข่าวออกมาว่า บริษัทไฟเซอร์ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์วัคซีนไฟเซอร์เอ็มอาร์เอ็นเอ ได้นำเสนอขอใช้วัคซีนไฟเซอร์ในการฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 5 เดือนถึง 5 ขวบ โดยได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยพบจากการทดลองในกลุ่มทดลองจำนวนหนึ่งว่า เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ ในปริมาณเฉพาะของเด็กเล็กนั้น เมื่อฉีดครบ 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ จะมีภูมิคุ้มกันได้พอควร และหลังจากนั้นอีก 4 เดือน ฉีดเข็มที่ 3 เพิ่มเติม จะทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นไปได้ถึงระดับที่น่าจะดีมาก โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะทำให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 ครอบคลุม ประชากรเกือบจะทุกช่วงอายุทั่วทั้งโลก ซึ่งจะเป็นผลดีอย่างยิ่ง
การเปิดประเทศอย่างเต็มที่จะเริ่มขึ้นหลังจากการประกาศว่าโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เมื่อถึงตอนนั้นวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทยจะกลับมาสู่สภาพปกติ รวมทั้งธุรกิจต่างๆ ที่เคยรุ่งเรืองก็จะกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นน่าจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งสินค้าส่งออกของประเทศไทยนั้น ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเป็นอย่างมาก และยังสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนรายได้หลักอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นรายได้จำนวนมหาศาลคือจากการท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน
ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ความสนใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว เพราะเป็นเมืองที่มีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อาทิพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดโพธิ์ตลอดจนแหล่งที่น่าสนใจ เช่น เยาวราช ถนนข้าวสาร คลองผดุงกรุงเกษม รวมทั้งอาหารการกินที่เป็นที่เลื่องลือ ก็ขอให้ผู้ว่าฯท่านใหม่ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ ตามที่ได้สัญญากับประชาชนเมื่อตอนหาเสียงไว้ ทั้งในเรื่องสภาพแวดล้อม ความสวยงาม ความสะอาด ระบบขนส่งมวลชนและอื่นๆ ซึ่งหากท่านทำได้ดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่ตั้งท่านย่อมได้รับการชื่นชม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองย่อมคุ้มครองท่านอย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี