กระแสความนิยม (แต่บางคนเรียกกระแสเห่อของใหม่) ในตัวและภาพลักษณ์ของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ล่าสุด (คนที่ 17) ยังคงกลายเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นเรื่องโจษขานในสังคมไทยในขณะนี้ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์แต่ประการใด เพราะทุกครั้งที่สังคมไทยปรากฏเหตุว่ามีนักการเมืองรายใดก็ตามได้คะแนนจากการเลือกตั้งมากมายจนท่วมท้นซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติการณ์ นักการเมืองรายนั้นก็จะได้รับความชื่นชม และถูกกล่าวขานถึงโดยไม่ต้องสงสัย แต่ก็ต้องรอดูต่อไปว่า กระแสความนิยมที่สาธารณชนมอบให้ชัชชาติจะดำรงคงอยู่ได้นานสักเพียงใด
แน่นอนว่าการได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในยุคที่คนกรุงเทพฯไม่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯมานานเกือบ 10 ปี ย่อมทำให้เกิดกระแสความแตกตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วยิ่งผสมกับอาการเบื่อหน่ายนายกรัฐมนตรีที่แม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ทว่ามีประวัติมาจากการทำรัฐประหารผสมเข้าไปด้วย ก็ยิ่งทำให้กระแสความนิยมที่มีต่อผู้ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งได้รับการกล่าวขานถึงมากเข้าไปอีก
อันที่จริง มีการตั้งคำถามว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความรู้สึกที่ดีกับคนที่ได้รับเสียงโหวตมากๆ จริงหรือ และมีคำถามตามมาด้วยว่า คนไทยจำนวนมากมีความเชื่อมั่นกับผลการเลือกตั้งจริงหรือ
เหตุที่ถามเช่นนี้ ก็เพราะว่ามีการกล่าวถึงอยู่เสมอๆ ว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยนั้น หาความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างเที่ยงแท้ได้ยากมาก ผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่ขาวสะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่องไปเสียทุกราย เพราะสาธารณชนได้ประจักษ์มาแล้วว่า เหล่ามาเฟีย นักธุรกิจการเมือง เจ้าพ่อเจ้าแม่จำนวนไม่น้อยต่างใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องฟอกขาวให้ตนเองมานักต่อนักแล้ว หลายคนบอกด้วยว่า การเลือกตั้งในเมืองไทยนั้น หากไม่มีการใช้เงินมหาศาลแล้ว ก็ไม่น่าจะทำให้นักการเมืองจำพวกมาเฟีย เจ้าพ่อเจ้าแม่ได้มีโอกาสเข้าไปลอยหน้าอยู่ในรัฐสภาในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทัศนคติเรื่องการใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมือง เป็นสิ่งที่สาธารณชนในสังคมไทยประจักษ์แจ้งเป็นอย่างดี แต่เรื่องนี้ใช้สรุปชัยชนะทางการเมืองของชัชชาติได้หรือไม่ต้องพิจารณาในรายละเอียดกันต่อไป แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครสรุปว่าชัชชาติชนะการเลือกตั้งด้วยสาเหตุการทุ่มเงินจำนวนมหาศาล แต่ส่วนมากสรุปว่าชนะเพราะความนิยมในตัวของชัชชาติเป็นสำคัญ
ชัยชนะของชัชชาติในครั้งนี้ทำให้แฟนคลับของชัชชาติมองไกลไปถึงเรื่องที่ว่าชัชชาติเหมาะสมกับการได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใช้สมมุติฐานใดในการเร่งรีบร้อนรวบรัดสรุปแบบนั้น แต่เท่าที่เห็นก็คือน่าจะมาจากเสียงของกองเชียร์ชัชชาติ เพราะเบื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา
ชื่อของชัชชาติได้ปรากฏในเวทีแห่งอำนาจรัฐชัดๆ ในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันนั้นชัชชาติได้นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถามว่าทำไมยิ่งลักษณ์เลือกให้ชัชชาตินั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทั้งๆ ที่เป็นกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญ และมีงบประมาณมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
คำตอบเรื่องนี้ไม่น่าจะมาจากฝีมือการทำงานการเมืองของชัชชาติ เพราะชัชชาติไม่เคยมีผลงานการเมืองใดๆ มาก่อนแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ต้องตั้งคำถามให้เสียเวลาว่าชัชชาติได้ตำแหน่งสำคัญด้วยเหตุผลใด เพราะการตั้งใครก็ตามไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องดูที่ฝีมือการทำงาน ไม่ต้องดู background ใดๆ ด้วย แต่ดูได้จากความสนิทชิดเชื้อระหว่างผู้ถูกตั้งกับผู้มีอำนาจแต่งตั้งเท่านั้นก็พอ (ซึ่งเรื่องนี้ก็สามารถดูได้แม้กระทั่งการแต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา)
มีเรื่องน่าตลกอีกเรื่องหนึ่งคือ ในช่วงปี พ.ศ. 2562 ได้ปรากฏชื่อชัชชาติในการเป็นผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายคนที่ติดตามการเมืองไทยได้เห็นแล้วต่างหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง แต่ก็ไม่มีใครประหลาดใจมากนัก เพราะยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นใครๆ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าหากพรรคการเมืองที่เสนอชื่อบุคคลนั้นๆ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แล้วการเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนัก เพราะใครก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ หากมีเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาเพียงพอ
มีคำถามตามมาอีกว่า ชัชชาติสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯโดยเป็นอิสระจากพรรคการเมืองจริงหรือ ถามย้ำๆ ว่าจริงหรือ คำตอบเรื่องนี้ตอบได้หลายแง่มุม ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตอบมีมุมมองต่อชัชชาติอย่างไร แต่หากถามตรงๆ ว่าชัชชาติลงแข่งขันโดยไม่มีแรงหนุนจากพรรคเพื่อไทยจริงหรือ คำตอบก็คือไม่น่าจะจริง เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคเพื่อไทยไม่ส่งตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งนี้ถามว่าทำไมพรรคเพื่อไทยไม่ส่งคนของตนเองลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ แต่กลับส่งผู้สมัครชิงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพฯ (สก.) เมื่อถามเช่นนี้ก็ต้องตอบตรงประเด็นว่าเพราะเพื่อไทยมีความคิดว่าก็ในเมื่อชัชชาติลงสมัครแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนของพรรคลงไปชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯอีก เพราะจะส่งไปเพื่อตัดคะแนนกันทำไม เมื่อเห็นฉากการเมืองนี้แล้ว ก็คงตอบได้โดยทันทีกระมังว่า ชัชชาติเป็นอิสระจากพรรคเพื่อไทยร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่เพราะฉะนั้น เรื่องความเป็นอิสระของชัชชาติจากพรรคเพื่อไทยก็น่าจะมีคำตอบอยู่โดยนัยอยู่แล้ว
ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวกันว่าชัชชาติเป็นผู้บริหารมืออาชีพ สามารถร่วมมือทำงานได้กับทุกฝ่ายโดยไม่แบ่งขั้วการเมือง และเป็นคนที่มีความประนีประนอมสูง ไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใครๆ เรื่องนี้ต้องถามอีกทีว่า ชัชชาติเป็นผู้บริหารมืออาชีพจริงหรือ อย่าลืมว่าเขาบริหารบริษัทเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น แล้วก็เป็นบริษัทที่เมื่อดูๆ ไปแล้ว ก็มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองในระดับมีนัยสำคัญด้วย ส่วนเรื่องไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใครนั้น เรื่องนี้พอจะรับฟังได้ เพราะยังไม่ปรากฏว่าชัชชาติสร้างเรื่องขัดแย้งโดยตรงกับใคร เพราะทุกวันนี้ก็จะเห็นแค่เพียงภาพชัชชาติปรากฏตัวตามที่ต่างๆ เช่น โค้งร้อยศพ สำนักการระบายน้ำของกรุงเทพฯ และการไปร่วมงานของสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งก็มักจะมีสื่อฯ มวลชนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะสื่อมวลชนจำพวก social media จากบางค่ายที่เชียร์ชัชชาติตรงๆ ต่างช่วยโหมโฆษณาการปรากฏตัวของชัชชาติอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าสาธารณชนยังไม่เห็นชัดๆ ว่าชัชชาติประกาศว่าจะดำเนินนโยบายใดเป็นเรื่องแรกในการบริหารกรุงเทพฯ
ส่วนข้ออ้างที่ว่าคนที่เลือกชัชชาติเพราะเบื่อความแตกแยก การแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ก็มีคำถามว่า แน่ใจหรือว่าชัชชาติไม่สังกัดฝักฝ่ายใดๆ มั่นใจจริงๆ หรือว่าชัชชาติเป็นกลางโดยสมบูรณ์ หากมั่นใจลองดูคำตอบที่ชัชชาติตอบเรื่องมาตรา 112 แล้วจะรู้ว่าชัชชาติมีจุดยืนเป็นกลางจริงแท้แค่ไหน
ประเด็นการวางตัวรองผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ 4 ราย และที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ 9 ราย เลขานุการผู้ว่าฯ 1 ราย ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ อีก 4 ราย และโฆษกกรุงเทพฯ อีก 1 ราย
ดังมีรายชื่อต่อไปนี้คือ รองผู้ว่าฯ 4 ราย ได้แก่ จักกพันธุ์ ผิวงามวิศณุ ทรัพย์สมพล ทวิดา กมลเวชช และศานนท์ หวังสร้างบุญ
ที่ปรึกษามีทั้งหมด 9 ราย คือ ต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษา เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ นิพัทธ์ ทองเล็ก อนุตตร จิตตินันทน์อดิศร์ งามจิตสุขศรี วิลาวัลย์ ธรรมชาติ อรรถเศรษฐ์ เพชรมีศรี ภาณุมาศ สุขอัมพร และพรพรหม วิกิตเศรษฐ์
เลขานุการผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ คือ ภิมุข สิมะโรจน์ และมีผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ อีก 4 ราย คือเอกวรัญญู อัมระปาลศนิ จิวจินดา จิรัฏฐ์ ม้าไว และสิทธิชัย อรัณยกานนท์
โฆษกกรุงเทพมหานคร คือ เอกวรัญญู อัมระปาล
เมื่อดูจากชื่อคณะทำงานที่ปรากฏ ก็จะเห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้มาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย อดีตข้าราชการกรุงเทพมหานคร หมอ ทหารตำรวจ นักกิจกรรมสังคม ตัวแทนคนพิการ นักการเมืองจากพรรคต่างๆ แต่ไม่ปรากฏชัดว่ามีบุคคลตัวฉกาจของพรรคเพื่อไทยมีรายชื่ออยู่ในกลุ่ม เพียงแต่พบว่าบางคนมีสายสัมพันธ์ที่พอจะสืบค้นได้ว่าเกี่ยวพันกับเพื่อไทยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ระดับผู้กำหนดนโยบายของพรรคเพื่อไทย
เพราะฉะนั้น ก็ตัดประเด็นที่มีการสร้างข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งคนของตนเองไปเป็นรองผู้ว่าฯ กรุงเทพฯในยุคชัชชาติไปได้โดยปริยาย
บัดนี้ชัชชาติได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯอย่างเป็นทางการแล้ว หลายคนเฝ้ารอว่าชัชชาติจะแถลงนโยบายการทำงานให้ชาวกรุงเทพฯรับทราบในวันไหน เพราะคนกรุงเทพฯต้องการรู้ว่าชัชชาติจะแก้ปัญหาวิกฤตเรื่องใดให้กรุงเทพฯก่อนเป็นอันดับแรก หรือพูดตรงๆ คืออยากรู้ว่า 10 ปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯที่ชัชชาติจะแก้คือเรื่องอะไรบ้าง
ทุกวันนี้สาธารณชนเห็นชัชชาติไปโน่นนี่นั่นตลอดเวลา ซึ่งก็น่านับถือมาก เพราะแสดงให้เห็นว่าพยายามลงไปดูปัญหาในที่ต่างๆ แต่ก็มีคำถามตามมาว่า แล้วที่เคยโฆษณาว่าตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมานั้น ลงไปศึกษาและดูปัญหาต่างๆ ของกรุงเทพฯมาแล้ว แล้วเหตุใดจึงต้องลงไปดูปัญหาของกรุงเทพฯอีก หรือชัชชาติจะบอกว่าการไปดูปัญหาครั้งก่อนตอนที่ยังไม่มีตำแหน่งผู้ว่าราชการไม่สามารถเห็นปัญหาได้ ต้องกลับไปดูปัญหาชัดๆ อีกครั้งเมื่อรับตำแหน่งผู้ว่าราชการแล้ว
เอาเถอะ หากต้องการจะลงไปดูปัญหาในที่ต่างๆ อีกก็คงไม่มีใครหวงห้าม แต่สิ่งที่สาธารณชนต้องการเห็นคือการลงมือแก้ปัญหาโดยทันที เพราะหลายคนเชื่อในคำพูดของชัชชาติที่ว่าตลอดสองปีกว่าได้ลงไปดูปัญหาของกรุงเทพฯมาแล้ว ดังนั้นเมื่อวันนี้มีอำนาจในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯโดยสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ขอได้โปรดลงมือแก้ปัญหาโดยทันที หากแก้ปัญหาไปด้วย แล้วมีภาพข่าวปรากฏออกมาด้วย ก็ไม่มีใครตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่หากมีแค่เพียงภาพโดยปราศจากการลงมือแก้ปัญหา แบบนี้คือการสร้างภาพ
สินค้าใหม่ต้องอาศัยการสร้างภาพ เรื่องนี้สาธารณชนเข้าใจได้ แต่หากสร้างภาพไปเรื่อยๆ โดยปราศจากการลงมือทำงานอย่างจริงจัง พฤติกรรมเช่นนี้คือมนุษย์สร้างภาพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี