อาเซียนได้จัดตั้งโครงการร่วมมือทางด้านความมั่นคงอาหาร และด้านพลังงาน มาเป็นเวลาช้านาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาการขาดแคลนในยามวิกฤต โดยสมัยเมื่อผมยังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีโอกาสร่วมไปกับคณะผู้แทนไทยในการเจรจาในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกฎเกณฑ์กติกาที่กำหนดให้สมาชิกประเทศอาเซียนต้องสำรองสิ่งจำเป็นทั้งสองไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ช่วยเหลือกันในยามฉุกเฉิน
ซึ่งก็แน่นอน ไทยเราในฐานะผู้ผลิตและส่งออกข้าวระดับต้นๆ ของโลก ก็ต้องเป็นประเทศที่มีความสำคัญในการสำรอง หรือการแบ่งปันส่วนเกินให้กับเพื่อนสมาชิกอาเซียนที่ต่างผลิตข้าวไม่เพียงพอ หรือขาดแคลนข้าวในยามวิกฤต แต่ในแง่กลับประเทศที่เป็นแหล่งพลังงาน เช่น มาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเซีย ก็ต้องเป็นแหล่งช่วยเหลือสำคัญในการสำรองพลังงานธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และก๊าซ
โดยต่อมา จากการร่วมมือแค่ในระดับอาเซียน ก็ได้ขยายไปถึงมิตรประเทศคู่เจรจาคู่ค้าของอาเซียนในภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความมั่นใจว่าในยามวิกฤตทุกข์ยากนั้น จะไม่มีประเทศใดต้องลำบากอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะจะมีมิตรประเทศให้ความช่วยเหลือ และการร่วมมือช่วยเหลือกันดังกล่าวนั้นก็มิได้จำกัดอยู่ที่ข้าว และพลังงานเชื้อเพลิงเท่านั้นหากแต่ก็มีนัยว่าจะขยายไปถึงสินค้าและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ได้ เพราะมิตรประเทศ และประเทศที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน ก็ควรจะมีความยืดหยุ่นในการขยายความร่วมมือช่วยเหลือกัน เช่น เวชภัณฑ์ และวัคซีน หรือน้ำมันพืช ไปจนถึงเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ในการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการบูรณะฟื้นฟูประเทศ
แต่จนแล้วจนรอด ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงต่างๆ ดังกล่าว (ASEAN Food Security หรือ ASEAN Energy Security) ก็ดูเหมือนจะถูกลืมเลือนกันไป ไม่ได้เป็นข่าวคราวใดๆ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโลก อันสืบเนื่องมาจากโรคระบาดโควิด-19 รวมถึงปัญหาผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย และการคว่ำบาตรรัสเซีย โดยกลุ่มประเทศพัฒนาฝ่ายตะวันตกที่สนับสนุนยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซีย
อย่างกรณีการเผชิญหน้ากับโรคระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีน การจัดหายาก็ปรากฏว่าประเทศสมาชิกอาเซียน ก็ต่างคนต่างดำเนินการไป ไม่ได้มีการร่วมมือกันทั้งการจัดหาจัดซื้อ การร่วมมือกันทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ และการร่วมมือกันทางด้านค้นคว้าวิจัยพัฒนา ทุกอย่างเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่ โดยทั้งหมดก็ได้รับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศคู่เจรจาคู่ค้าทางด้านวัคซีนอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย เสมือนการช่วยเหลือแบบสัญลักษณ์กันไปเท่านั้น
การไม่เกิดขึ้นของการร่วมมือในยามนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาด โดยเฉพาะในขณะที่อาเซียนได้กลไกอยู่บ้างแล้ว และก็มีประสบการณ์อยู่พอประมาณด้วย รวมถึงปัญหาราคาพลังงานเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างมากๆ คู่ขนานไปกับการถีบตัวของราคาปุ๋ยอาหารสัตว์ และธัญพืช ไปจนถึงอาหารพื้นฐาน เช่นเนื้อไก่และสุกร ที่กระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมากมายก็มิได้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ให้คิดอ่านที่จะปรึกษาหารือเพื่อร่วมด้วยช่วยกัน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้นำอาเซียนนั้นขาดความเดือดเนื้อร้อนใจ กับปัญหาของประชาชนพลเมืองของตน หรือไม่ก็ขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับกลไกและเครื่องมือ ความร่วมมือของอาเซียน หรือไม่ก็ขาดวิสัยทัศน์โดยสิ้นเชิง อีกทั้งฝ่ายการเมืองก็ต้องพึ่งฝ่ายข้าราชการประจำเป็นสำคัญ และไฉนการสื่อสารระหว่างฝ่ายข้าราชการประจำที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ ถึงต่างนิ่งเฉยไม่นำเรื่องลู่ทางทางความร่วมมือ มาสู่การรับรู้และการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง ก็จัดได้ว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการบริหารราชการ
ก็ยังไม่เป็นเรื่องที่สายเกินไปที่จะกระตุ้นให้เกิดการปรึกษาหารือ และวางแผนภายในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน และให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 หันกลับมาวางแผนเพื่อการร่วมมือกัน อาทิ ไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม อาจจะร่วมมือกันในการจัดตั้งข้าวสำรอง เพื่อขายให้มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไนและฟิลิปปินส์ ในราคามิตรภาพ และในขณะเดียวกัน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก็อาจจะดำเนินการร่วมกันในเรื่องปาล์มน้ำมัน และประเทศบรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ก็อาจจะร่วมกันเจียดน้ำมัน ก๊าสธรรมชาติ และถ่านหินส่วนหนึ่ง ให้กับ ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ได้ โดยสิงคโปร์อาจจะวางตัวเป็นศูนย์กลางของการขนส่ง และการจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนั้น อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ น่าจะคิดอ่านร่วมมือกันในการส่งเสริมและพัฒนาการค้นคว้าวิจัยทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์ ยารักษาโรค และวัคซีน ไปจนถึงการร่วมกันเจรจาจัดซื้อยา
และวัคซีนกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในระดับรัฐต่อรัฐ (G2G) หรือการเจรจาขอให้ประเทศที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ยา ช่วยเจรจาเพื่อให้ได้รับยาและวัคซีนในราคาที่ต่ำกว่าตลาดในราคาตลาดทั่วไป
ทั้งนี้ สังคมไทยก็ขอฝากความหวังไว้ให้กับฝ่ายรัฐบาลผู้บริหารบ้านเมือง แต่บรรดาพรรคการเมือง แวดวงวิชาการ สื่อ ก็ต้องช่วยกันคิด กระตุ้นและเสนอแนะต่อฝ่ายผู้บริหารประเทศ ให้เกิดไอเดียและแนวทางดำเนินการ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวไทย และชาวอาเซียน ในวิกฤตค่าครองชีพถีบตัวสูงแบบก้าวกระโดดเช่นทุกวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี