“SLAPP” ย่อมาจาก Strategic Lawsuit Against Public Participation หมายถึงการฟ้องร้องทางคดีความที่ผู้ฟ้องมิได้มีเจตนาแสวงหาความยุติธรรม แต่เพื่อข่มขู่ไม่ให้ตีแผ่ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกใน สหรัฐอเมริกา โดย เพเนโลเป เคนัน และ จอร์จ ดับเบิลยู. พริง (Penelope Canan and George W. Pring) 2 นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 (ช่วงปี 2523-2532) ส่วนในภาษาไทย เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า “ฟ้องปิดปาก” ซึ่งก็ไปพ้องกับคำภาษาอังกฤษว่า “Slap” ที่แปลว่า “ตบ” (ตบปากให้หยุดพูด)
SLAPP เป็นสิ่งพบได้ทั่วโลกโดยผู้กระทำมักเป็นบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจไม่ว่าในภาครัฐหรือภาคเอกชน วิธีการที่พบได้บ่อยๆ คือการ “ฟ้องหมิ่นประมาท” ที่ผู้ฟ้อง “เดินสายฟ้องข้ามพื้นที่” ตั้งแต่ข้ามจังหวัด ข้ามภาค ไปจนถึงข้ามมลรัฐ เพื่อสร้างภาระการสู้คดีกับผู้ถูกฟ้อง อาทิ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่มักเป็นผู้ออกมาเปิดโปงเรื่องราวไม่ชอบมาพากลในสังคม เช่น สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) นักวิชาการ จนถึงคนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของผู้มีอำนาจโดยตรง
ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา กสม. ได้ยกคดีหนึ่งที่เข้าข่าย SLAPP โดย กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนเม.ย. 2564 จากผู้ปกครองของบุตรสาวที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ว่า สืบเนื่องจากกรณีเหตุการณ์ครูพี่เลี้ยงของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ทำร้ายร่างกายเด็ก เมื่อช่วงเดือนก.ย. 2563
ผู้ปกครองรายนี้จึงตั้งกลุ่มเฟซบุ๊คสมาคมผู้ปกครองเพื่อเป็นช่องทางในการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มผู้ปกครองด้วยกัน และเพื่อรวบรวมประเด็นความคิดเห็นเสนอต่อโรงเรียนนำไปพิจารณาแก้ไขปัญหา โดยผู้ปกครองรายดังกล่าว ได้นำเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งให้กับสื่อมวลชนของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ เผยแพร่ในกลุ่มเฟซบุ๊คสมาคมผู้ปกครอง เป็นเหตุให้โรงเรียนมีหนังสือเมื่อเดือนธ.ค. 2563 แจ้งให้ผู้ร้องหาโรงเรียนใหม่ให้กับบุตรสาวของผู้ร้องภายใน 90 วัน
“พร้อมกันนั้น โรงเรียนเอกชนแห่งดังกล่าว ยังได้แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ปกครองรายนี้ด้วยฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ต่อสถานีตำรวจภูธรกาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานีสถานีตำรวจภูธรชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี นอกจากนั้น ยังพบการไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ จ.สุโขทัย และ จ.เชียงใหม่ อีกด้วย”
กรณีนอกจากนี้ กสม. จะให้ความเห็นว่า การออกหนังสือเตือนดังกล่าว เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะเป็นการกดดันผู้ปกครอง ซึ่งการที่ผู้ปกครองตั้งกลุ่มเฟซบุ๊คแลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนรวมถึงสอดส่องเฝ้าระวังพฤติกรรมของบุคลากรของโรงเรียนเพื่อไม่ให้เกิดกรณีการทำร้ายร่างกายเด็กอีก พร้อมขอให้มีการจัดตั้งสมาคมผู้ปกครองนักเรียน นั้น ถือเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการรวมกลุ่มกันในรูปแบบหนึ่งอันสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 42
รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้มีหนังสือเมื่อเดือนธ.ค. 2563 แจ้งไปยังผู้ปกครองที่ร้องเรียนและโรงเรียนแห่งดังกล่าว โดยยืนยันว่าโรงเรียนไม่สามารถให้เด็กออกจากสถานศึกษาได้ เว้นแต่ผู้ปกครองจะย้ายสถานศึกษาเอง และขอให้โรงเรียนเจรจากับผู้ร้องเพื่อไม่ให้กระทบถึงสิทธิ์เด็ก แต่โรงเรียนมิได้ดำเนินการใด อันถือเป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่งของ สช. แล้วนั้น ยังให้ความเห็นเรื่องการที่โรงเรียนดังกล่าว ตระเวนฟ้องคดีในหลายจังหวัดกับผู้ปกครองที่ออกมาร้องเรียน ด้วยว่า
“วิธีการแจ้งความเอาผิดผู้ร้องของโรงเรียนแห่งดังกล่าวต่อสถานีตำรวจใน 4 ท้องที่ต่างภูมิภาคกัน โดยอ้างว่าเป็นสถานที่พบเจอการกระทำความผิดของผู้ร้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อันนำไปสู่การจับกุมผู้ร้องต่อหน้านักเรียน บุคลากรของโรงเรียน และผู้ปกครองอื่นด้วย นั้น เป็นการแจ้งความร้องทุกข์ในประเด็นเดิม ข้อกล่าวหาเดิม ในช่วงเวลาต่างกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ร้องต้องเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในท้องที่หลายแห่งตามภูมิภาคต่างๆ
และเมื่อพิจารณาเจตนาการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของผู้ร้อง ซึ่งเป็นการตั้งคำถามและข้อร้องเรียนต่อการคัดสรรบุคลากรของโรงเรียนที่ส่งผลกระทบต่อการใช้กำลังทำร้ายเด็กนักเรียน เพื่อจะได้ป้องกันปัญหาดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกนั้น การกระทำของโรงเรียนจึงเข้าข่ายเป็นการดำเนินคดีโดยไม่สุจริต อันเป็นการปิดกั้นไม่ให้ผู้ร้องกล้าแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ ซึ่งกระทบต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและเสรีภาพในการแสดงความเห็น จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน”
จากการฟ้องคดีที่เกิดขึ้น กสม. ให้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา คือ “ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงแนวปฏิบัติของพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่เป็นลักษณะกรรมเดียวแต่มีการร้องทุกข์ในหลายพื้นที่ ในทางที่ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ” อาทิ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อตรวจสอบความซ้ำซ้อนของข้อกล่าวหา การพิจารณารวบรวมสำนวนเข้าด้วยกัน หรือการนำเทคโนโลยีมาประกอบการใช้เรียกผู้ถูกกล่าวหาเข้าพบ
ตลอดจนการสอบสวนทั้งผู้เสียหาย ผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดภาระการเดินทางและค่าใช้จ่ายอันอาจเป็นการเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ อีกทั้ง “ให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาเร่งผลักดันการออกกฎหมายที่มีหลักการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก หรือการดำเนินคดีโดยไม่สุจริตเพื่อเป็นการปิดปากการแสดงความคิดเห็นของประชาชน” โดยขอให้พิจารณาให้มีความครอบคลุมถึงกรณีเอกชนฟ้องเอกชนด้วย
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน เนื่องจากการฟ้องปิดปากเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้กล้าออกไปตีแผ่เรื่องใหญ่โต เพราะแม้แต่คนธรรมดาๆ ที่วันหนึ่งไปมีเรื่องกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าก็อาจถูกใช้วิธี SLAPP เพื่อข่มขู่คุกคามก็ได้ จึงต้องช่วยกันเรียกร้องให้มีแนวทางป้องกันการใช้กระบวนการยุติธรรมด้วยเจตนาไม่สุจริตเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมอำนวยความเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี