การเมืองนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคมไทย จริงหรือหรือว่าความแตกแยกในสังคมไทยเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว การไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง ของผู้คนในสังคมไทย
ทำไมการเลือกตั้งในบ้านเรา นำมาซึ่งความแตกแยก หรืออันที่จริงแล้ว การเลือกตั้งไม่ใช่ต้นเหตุของความแตกแยก แต่ต้นเหตุสำคัญของความแตกแยกมาจากการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมืองของผู้คนในสังคม แล้วโยนความผิดให้การเลือกตั้ง
ทำไมการเลือกตั้งในเมืองไทย จึงเต็มไปด้วยการซื้อเสียง การทุจริตสารพัดรูปแบบ แล้วทำไมการเลือกตั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงไม่มีปัญหาการซื้อขายเสียงเหมือนในประเทศไทย แล้วทำไมการเลือกตั้งในประเทศพัฒนาแล้ว จึงนำมาซึ่งความสงบสุขภายในประเทศ
ในสังคมไทยยังมีคำถามอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและความเป็นไปของสังคม และยังมีคำถามด้วยว่า ทำไมคนไทยจึงต้องทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยกกันเพราะความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน
อันที่จริง ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีปัญหาความขัดแย้งในสังคมอันเกิดมาจากมูลเหตุความไม่ลงรอยกันในทางการเมือง เพราะเมื่อศึกษาปัญหาความขัดแย้งในทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ก็จะพบว่าเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมเป็นประจำ เมื่อประชาชนในประเทศใดก็ตามไม่สามารถเจรจาหาทางออกโดยสงบสันติได้ เมื่อคนแต่ละฝ่ายในสังคมมีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน
ความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่ที่นับว่าแปลกประหลาดมากคือ เมื่อคิดเห็นไม่ตรงกันในทางการเมือง แล้วกลับจงใจก่อความเสียหายให้บ้านเมือง โดยอ้างว่าฝ่ายของตนเองนั้นรักบ้านเมืองมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ทำลายบ้านเมือง
เราได้ยินคำอ้างเรื่องการผูกขาดความรักชาติโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมาโดยตลอด แล้วเราก็พบด้วยว่า ทุกครั้งเมื่อเกิดการผูกขาดความรักชาติโดยคนกลุ่มใดก็ตาม ก็มักจะเกิดความรุนแรงตามมาทุกครั้ง ไม่ว่าบ้านเมืองในยุคนั้นจะมีผู้นำการเมืองเป็นนักการเมืองที่มาจากพลเรือน หรือมาจากการก่อรัฐประหาร ก็ตาม
ในยุคทักษิณ ชินวัตร เราได้ยินคำว่า ผมรวยมากแล้ว ผมไม่โกง แต่สุดท้ายก็ประจักษ์ชัดว่า ข้ออ้างเรื่องรวยแล้วไม่โกง ไม่เป็นความจริง แต่กลับพบว่ารวยมาก
ยิ่งโกงมาก
ครั้นในยุครัฐประหารโดยทหารก็พบข้ออ้างอีกว่าจำเป็นต้องก่อรัฐประหารเพื่อกำจัดนักการเมืองโกงบ้านกินเมือง แต่สุดท้ายเมื่อก่อรัฐประหารแล้ว บ้านเมืองก็ไม่ได้ปราศจากการคนโกงโดยคนมีอำนาจรัฐ
ดังนั้นจึงมีข้อสรุปเบื้องต้นตรงกันว่า คนมีอำนาจรัฐในเมืองไทยนั้น หาคนคดโกงได้น้อยมาก เพราะทุกคนต้องการอำนาจรัฐ เพื่อเข้าไปโกงบ้านกินเมืองมากกว่าพัฒนาบ้านเมือง
เราเห็นนักการเมืองที่ได้รับตำแหน่งผู้นำการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรีไทยทุกคนประกาศว่าต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สุดท้ายผู้ที่ประกาศว่าต่อต้านคอร์รัปชั่นก็มีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นเสียเอง
ดังนั้น คนในสังคมไทยจึงมองว่า การเมืองคือเรื่องของการทุจริตมากกว่าการเมืองเป็นการสร้างความเจริญให้กับสังคม แล้วมองว่านักการเมืองคือตัวการหลักชนิดหนึ่งของการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคม
มีคำถามว่า ทำไมรัฐบาลไทยทุกชุดจึงไม่สามารถปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ มีผู้ตอบคำถามนี้ว่า เพราะรัฐบาลเข้าไปมีอำนาจรัฐ เพื่อหวังใช้อำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง แม้ปากของผู้นำรัฐบาลจะอ้างว่าต้องกำจัดให้คอร์รัปชั่นหมดไปจากแผ่นดิน แต่คำกล่าวอ้างกับพฤติกรรมแท้จริงเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง
มีการอ้างว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นมีต้นตอมาจากระบบอุปถัมภ์ แต่เมื่อศึกษาให้จริงจังก็พบว่าในสังคมที่ไม่มีระบบอุปถัมภ์แบบไทย ก็ยังมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่เป็นความจริงว่าระบบอุปถัมภ์คือต้นตอของการคอร์รัปชั่นเสมอไป
แต่การคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นได้เพราะมีผู้ให้กับผู้รับ ถามว่าทำไมจึงต้องมีผู้ให้ผลประโยชน์โดยมิชอบกับผู้อื่น เช่น ทำไมเราจึงต้องยอมจ่ายส่วยให้ตำรวจ หรือทำไมเราจึงต้องยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับผู้มีอำนาจที่สามารถช่วยเหลือให้ลูกหลานของเราเข้าไปรับราชการได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการทหารก็ตาม
ถามว่าทำไมคนที่ต้องการเป็นสส. ในบ้านเมืองของเราจำนวนไม่น้อยจึงต้องมีหัวคะแนน แล้วทำไมจึงต้องซื้อเสียง
ถามต่อไปว่าทำไมตำรวจที่ต้องการเป็นผู้กำกับในสถานีตำรวจบางแห่งจึงต้องยอมจ่ายเงินหลายสิบล้านเพื่อซื้อตำแหน่ง
ถามต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคำถามที่ว่าทำไมต้องยอมจ่ายเงินหลายล้านบาทเพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่หลายคนเชื่อว่าเมื่อเข้าไปเรียนแล้วจะมีสายสัมพันธ์เชิงเกื้อหนุนกันได้อย่างลึกล้ำในอนาคต
ถามว่าทำไมคนบางคนจึงต้องยอมจ่ายเงินจำนวนเป็นล้านบาทให้กับหน่วยงานที่จัดอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนสารพัดหลักสูตรในบ้านเมืองของเรา
ทำไมทหาร ตำรวจจำนวนไม่น้อย จึงยอมเดินตามนักการเมืองมากกว่าการตั้งใจทำหน้าที่หลักตามภารกิจของตนเอง แล้วทำไมทหาร ตำรวจที่ยอมเป็นข้าทาสนักการเมืองจึงได้ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตได้อย่างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับตำรวจ ทหารที่ทุ่มเททำงานตามภารกิจของตน
ทำไมคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย ชอบวิ่งไปรับใช้ผู้มีอำนาจรัฐ มากกว่าการตั้งใจค้นคว้างานวิชาการ และมากกว่าการตั้งใจสอนหนังสือ แล้วทำไมคนสอนหนังสือที่วิ่งไปรับใช้อำนาจการเมือง จึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอำนาจการเมืองในที่สุด
สิ่งเหล่านี้น่าจะช่วยตอบคำถามเรื่องจุดเริ่มต้นของการคอร์รัปชั่นในบ้านเราได้เป็นอย่างดี และน่าจะช่วยให้เราตั้งคำถามเพื่อช่วยกันหาคำตอบได้ชัดเจนว่า หรือว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคอร์รัปชั่นในสังคมไทย
การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์เพื่อสาธารณะ แต่ทำไมจึงมีผู้ใช้อำนาจการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง
มีคำถามว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพ เพราะต้องการทำงานให้ชาวกรุงเทพ จริงหรือ
และมีคำถามทำนองเดียวกันว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชาทำรัฐประหารเพราะต้องการปราบปรามคอร์รัปชั่นจริงหรือ
แล้วก็มีคำถามว่า การที่คนไทยแต่ละฝ่ายเชียร์นักการเมืองแต่ละฝ่าย เป็นการแสดงออกเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข จริงหรือ
เราเชียร์ชัชชาติ เพื่อให้ชัชชาติทำงานการเมืองเพื่อกรุงเทพ จริงหรือ หรือว่าเชียร์ชัชชาติ เพื่อประกาศว่าไม่สนับสนุนประยุทธ์
เราเชียร์ประยุทธ์ เพราะเราต้องการให้ประยุทธ์ปราบคอร์รัปชั่น จริงหรือ หรือว่าเชียร์ประยุทธ์ เพราะเห็นว่าประยุทธ์เป็นคนละฝั่งกับทักษิณ ชินวัตร
เราเชียร์ทักษิณ ชินวัตร เพราะเชื่อว่าทักษิณรวยแล้วไม่โกง จริงหรือ หรือเชียร์เพราะต้องการให้ทักษิณโกงแล้วแบ่งให้เราด้วย
เราเคยถามตัวเองชัดๆ ไหมว่า ความแตกแยกทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมานานกว่า 2 ทศวรรษนั้น เรามีส่วนร่วมสร้างความแตกแยกทางการเมือง
ด้วยหรือไม่
เรามั่นใจหรือว่า หากเรายังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแตกแยกทางการเมือง แล้วบ้านเมืองของเราจะปราศจากความแตกแยก
เราอ้างความรักชาติ รักความถูกต้อง โดยมองว่าอีกฝั่งหนึ่งเป็นผู้ทำลายชาติ เป็นไดโนเสาร์ เป็นสลิ่ม เป็นควายแดง เป็นสามนิ้ว เป็นพวกกษัตริย์นิยม เป็นพวกล้มเจ้า
ถ้าเรายังมองคนร่วมชาติของเราด้วยสายตาแบ่งแยกแบบนี้ เรายังเชื่ออีกหรือว่าเราไม่ใช่คนที่เป็นต้นเหตุของความแตกแยกในสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี