สังคมไทยมีความมหัศจรรย์และพิสดารมาก เพราะเรื่องสำคัญๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย แต่ทว่าคนไทยจำนวนมากกลับไม่เคยรู้รายละเอียด ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านั้นส่งผลต่อชีวิตประจำวันของสาธารณชน
เรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง แต่ทว่าคนไทยจำนวนมากไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวโดยละเอียดก็คือ เรื่องการควบรวมกิจการโทรคมนาคม สิ่งที่คนไทยมักจะได้ยินคำกล่าวอ้างเรื่องการควบรวมกิจการโทรคมนาคมก็คือ การควบรวมกิจการ (merger and acquisition : M&A) ถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการบริหารจัดการทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ประเด็นสำคัญที่สาธารณชนตั้งคำถามคือ เมื่อควบรวมกิจการแล้ว สาธารณชนจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากผู้ให้บริการจริงหรือ หรือว่าเป็นการรวมเพื่อให้ผู้ดำเนินกิจการสามารถสร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจเท่านั้น
หลายคนถามว่าผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมสามารถโอนกิจการ หรือควบรวมกิจการได้โดยเสรี กระนั้นหรือ การได้รับอนุญาตให้ทำกิจการโทรคมนาคมไม่ใช่การได้รับสิทธิเฉพาะตัวสำหรับผู้ได้รับอนุญาตหรือ แล้วเหตุใดจึงสามารถนำไปควบรวมกิจการได้โดยง่าย อย่าลืมว่าการได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมใดๆ นั้นมีผลผูกพันกับผู้ได้รับอนุญาตอย่างชัดเจน มีการเกิดขึ้นของนิติบุคคลชัดเจนตามหลักกฎหมายดังนั้นการควบรวมกิจการจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนิติบุคคลใหม่ ใช่หรือไม่
แต่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อมีการควบรวมกิจการด้านโทรคมนาคมแล้ว ประชาชนผู้รับบริการจะได้ประโยชน์ใดมากขึ้นกว่าเดิม หรือจะสูญเสียประโยชน์ต่างๆ ที่เคยได้รับมาก่อน
การควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทค คือเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งถึงผลดีและผลเสีย เพราะเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท สำหรับประเด็นมูลค่าของธุรกิจหลายแสนล้านบาท มิสำคัญเท่ากับผลประโยชน์ที่ประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับ หากการควบรวมแล้วทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ก็ไม่มีใครคัดค้าน แต่ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้คือ เมื่อควบรวมแล้วประชาชนผู้ใช้บริการจะได้ประโยชน์มากขึ้นจริงหรือ
สำหรับสาธารณชนที่พยายามติดตามข่าวเรื่องการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคมาระยะหนึ่ง ก็คงจะทราบดีว่าข่าวคราวเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค้นหาความจริงได้ยากมากยากเพราะคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ โดยเฉพาะ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ทุกชุดที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ข้อมูลและรายละเอียดเรื่องนี้ต่อสาธารณชน แม้กระทั่งกสทช. ชุดปัจจุบันก็ไม่พยายามจะให้ข้อมูลอย่างจริงๆ จังๆ กับสาธารณชน ดังนั้นการรับรู้เรื่องราวที่ชัดเจนจึงหาได้ยากเย็นแสนเข็ญมาก
ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งคือ กสทช. มีหน้าที่ดูแลกิจการโทรคมนาคม ดังนั้น กสทช. จึงต้องไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ แม้หลายคนพอจะเข้าใจตื้นลึกหนาบางใน กสทช. ว่าใครคนไหนมีความสัมพันธ์ระดับใดกับเอกชนรายใดก็ตาม แต่ กสทช. ก็จำเป็นต้องสำเหนียกไว้เสมอว่า กสทช. มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้สาธารณะ มิใช่ปกป้องผลประโยชน์ให้กับนายทุน
ที่ผ่านมานั้น สาธารณชนได้เห็นมาแล้วว่าบอร์ด กสทช.บางชุดแสดงพฤติกรรมราวกับไม่ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ ดังจะพบว่า บอร์ด กสทช. บางชุดอ้างว่าการควบรวมกิจการนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจดูแลและความรับผิดชอบของ กสทช. เรื่องนี้คือตราบาปที่ประทับไปบนหน้าผากของบอร์ด กสทช. อย่างไม่มีวันลบเลือน จนมีคำถามว่า หาก กสทช. ไม่มีอำนาจดูแลกิจการโทรคมนาคมแล้ว จะมีเทวดาองค์ไหนทำหน้าที่ดูแลหรือ หรือว่า กสทช. จะอ้างว่ากิจการของทรูและดีแทคไม่ใช่กิจการที่อยู่ในความดูแลของ กสทช.
เมื่อ กสทช. ชุดเก่า และบอร์ด กสทช. ชุดเก่ากระเด็นออกจากอำนาจไปแล้ว ก็ทำให้สาธารณชนเฝ้าจับตามองว่า กสทช. ชุดใหม่จะดำเนินการรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะในประเด็นโทรคมนาคมอย่างไร หลายคนพูดทำนองทีเล่นทีจริงว่า ไม่แน่ใจว่ากรรมการ กสทช. ชุดนี้สักกี่คนที่ตั้งใจดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ เหตุที่สาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ก็เพราะเมื่อดูการทำงานของ คณะกรรมการ กสทช. บางรายแล้ว ไม่มั่นใจว่าตั้งใจปกป้องผลประโยชน์สาธารณะจริงจังหรือไม่
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่คนไทยเฝ้าติดตามก็คือ ประเด็นที่กำหนดไว้ว่า รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างที่สุดที่รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลผลประโยชย์ของสาธารณชนในด้านโทรคมนาคมจึงต้องรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนไว้เพราะปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต่างต้องใช้บริการของระบบโทรคมนาคมโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีความจริงข้อหนึ่งที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยมีจำนวนหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่มากถึง 120 ล้านหมายเลข ในขณะที่มีประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 66 ล้านคนเท่านั้น จึงเท่ากับยืนยันได้ว่าประชาชนไทยจำเป็นต้องพึ่งพาระบบโทรคมนาคมอย่างมาก ดังนั้น การตัดสินใจใดๆ ที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ หรือสูญเสียผลประโยชน์ในการรับบริการโทรคมนาคม จึงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐบาลที่ดูแลด้านโทรคมนาคมต้องรับผิดชอบโดยไม่มีทางปฏิเสธได้
หากจะพูดแบบฟังธง โดยไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลาก็คือ กสทช. มีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องป้องกันการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม และต้องป้องกันความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันการให้บริหารด้านโทรคมนาคม และยังต้องคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้ได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เมื่อไปอ่านอำนาจหน้าที่ของ กสทช. จะพบว่ามีการกำหนดว่า กสทช. ต้องไม่ปล่อยให้เกิดการผูกขาด หรือลดจำนวน หรือจำกัดการแข่งขันการให้บริการโทรคมนาคม และต้องไม่ปล่อยให้มีการใช้อำนาจทางการตลาดโดยไม่เป็นธรรม รวมถึงไม่อนุญาตให้มีพฤติกรรมกีดกันทางการแข่งขัน รวมถึงให้การคุ้มครองผู้ประกอบการรายย่อยด้วย
พูดโดยสรุปก็คือ กสทช. ต้องไม่ปล่อยให้เกิดการผูกขาดกิจการโทรคมนาคม และไม่ปล่อยให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันการให้บริการกิจการโทรคมนาคม และต้องป้องกันมิให้ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมกระทำการอันผูกขาด หรือจำกัดการแข่งขันในกิจการนี้ ซึ่งก็หมายความว่า กสทช. มีอำนาจในการสั่งให้ควบรวมหรือไม่ให้ควบรวมการประกอบกิจการของผู้ทำธุรกิจด้านโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม กสทช. ต้องเคร่งครัดอย่างมากในเรื่องการป้องกันการผูกขาดกิจการโทรคมนาคม เพื่อธำรงความเป็นธรรมในการแข่งขันการให้บริการด้านโทรคมนาคมในอนาคต
กสทช. ต้องไม่ลืมว่ารากเหง้าของตนเองคือ กทช. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการผูกขาดกิจการโทรคมนาคม โดยพยายามให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดในการดำเนินธุรกิจนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะ ประเด็นนี้คือสิ่งสำคัญที่ กสทช. จะละเลยหรือเพิกเฉยเสียมิได้เป็นอันขาด เพราะหากสาธารณชนจับได้ว่า กสทช. บกพร่องการทำหน้าที่นี้เสียแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดที่ต้องมี กสทช. อีกต่อไป
กสทช. จำเป็นต้องรู้เท่าทันเล่ห์กลของเอกชนให้ลึกซึ้งและต้องไม่ยอมตกเป็นลูกไล่ หรือเบี้ยล่างของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเอกชนรายได้ก็ตาม เพราะนั่นหมายความว่า กสทช. ไม่มีความสง่างามหลงเหลืออีกต่อไป แล้ว กสทช. ก็จำเป็นต้องรู้เท่าทันเล่ห์กลของเอกชนทุกรายด้วย อีกทั้งยังต้องสำเหนียกตลอดเวลาว่า กสทช. มีภารกิจหลักคือรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ หาก กสทช. รายได้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเที่ยงตรง และซื่อสัตย์แล้ว ก็ไม่สมควรจะตากหน้ารับหน้าที่ในกรรมการกสทช. อีกต่อไป เพราะจะเป็นการสร้างตราบาปให้กับตนเองและวงศ์ตระกูลไปชั่วกาลปาวสาน
การจะควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคจะต้องกระทำโดยอาศัยหลักของความถูกต้องทั้งตามหลักกฎหมาย และหลักการค้าเสรี ต้องทำด้วยความโปร่งใสทุกขั้นตอน กสทช. ต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสาธารณชนเป็นอันดับแรก โดยไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจบริษัทเอกชนรายใดก็ตาม การจะควบรวมกิจการใดๆก็ตามต้องเคร่งครัดในสิ่งต่อไปนี้ พระราชบัญญัติกิจการโทรคมนาคม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า และย้ำเหมือนเดิมคือต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
ขอย้ำอีกครั้งว่า กสทช. มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการและดูแลเรื่องการควบรวมกิจการธุรกิจโทรคมนาคม ดังนั้นการตัดสินใจของ กสทช. ในครั้งนี้จะเป็นการบอกกับสังคมไทยไปตลอดกาลว่า กสทช. คำนึงถึงความถูกต้อง คำนึงถึงศักดิ์ศรีของกสทช. คำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณชนมากน้อยเพียงใด
ขอย้ำทิ้งท้ายว่ากิจการโทรคมนาคมมีผลกระทบสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก ดังนั้นการตัดสินใจใดๆ ในการนี้จึงต้องอาศัยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนหมู่มากเป็นอันดับแรก หาก กสทช. ปล่อยให้เกิดการผูกขาดกิจการโทรคมนาคมโดยมิชอบแล้ว ก็นับว่าเปล่าประโยชน์กับการมี กสทช.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี