คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ติติงว่าประเทศไทยใจจืดใจดำ ไม่รับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาซึ่งประสบภัยสงครามเข้ามาดูแลสงเคราะห์ในประเทศไทย ทำให้ผู้ที่ได้ทราบคำติติงดังกล่าวนึกตำหนิติเตียนรัฐบาล เพราะชาวไทยนั้นเป็นคนมีน้ำใจฝังซึ้งตรึงอยู่ในกมลสันดาน ใครไหนเดือดร้อนก็ช่วยผ่อนให้เป็นเย็นตลอดมา
แม้ชาวบ้านในชนบทยากจน มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง หากเห็นใครเดือดร้อนมีความทุกข์ก็จะพยายามให้ความช่วยเหลือ
เท่าที่จะช่วยเหลือได้ ลำพังตนกำลังไม่พอก็ยังชักชวนเพื่อนชาวบ้านมาช่วยเหลือความทุกข์ร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จึงทำให้ความเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจเช่นนี้โด่งดังเป็นที่สรรเสริญของชาวโลก และทำให้ประเทศไทยเป็นชาติเดียวในโลกที่มีถ้อยคำใช้เป็นพิเศษ คือคำว่า “น้ำใจ” ซึ่งชาติทั้งหลายโดยทั่วไปไม่มีคำนี้ใช้และไม่รู้จักว่าน้ำใจเป็นอย่างไร
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จฯกลับจากยุโรปและทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติประการหนึ่งคือการสร้างชาติให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการ หรือประเทศที่มีการท่องเที่ยว เพราะจากการเสด็จฯครั้งนั้นพระองค์ทรงพบว่าในยุโรปนั้นมีประชาชนประเทศอื่นเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว มาจับจ่ายใช้สอยในประเทศที่ไปท่องเที่ยวนั้น ทำให้ประเทศนั้นมีรายได้โดยไม่ต้องปลูกไม่ต้องไถ ไม่ต้องหว่าน
พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริว่าสยามเป็นดินแดนที่สวยงาม มีศิลปวัฒนธรรม อารยธรรมที่งดงาม ชาวสยามเป็น
คนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง ใครพบใครเห็นก็รักและมีน้ำใจเต็มไปด้วยมิตรไมตรี จึงทรงเห็นว่าสยามมีศักยภาพที่จะเป็นประเทศท่องเที่ยวที่โด่งดังของโลกได้ ดังนั้นการพัฒนาชาติบ้านเมืองในสมัยของพระองค์จึงทรงมุ่งเน้นพัฒนาประเทศเพื่อรองรับกับการท่องเที่ยว
จากวันนั้นถึงวันนี้ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วโลกในความมีน้ำใจไมตรีและความโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แต่ละปีรายได้จากการท่องเที่ยวจึงเป็นรายได้ลำดับต้นของประเทศ และเป็นรายได้ที่เจือจานเผื่อแผ่แก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ในอดีตมีศึกสงครามในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ไม่ว่าในลาว ในกัมพูชา หรือในเวียดนาม แม้กระทั่งพม่า บรรดาผู้ได้รับความเดือดร้อนและประสบภัยสงครามต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศร่ำรวยหรือประชาชนร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้ แต่ความมีน้ำใจของไทยก็ได้เผื่อแผ่แก่ชนทั้งหลายผู้ได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญเหล่านั้น รัฐบาลได้จัดที่ทางให้หายร้อนผ่อนเป็นเย็น จัดอาหารการกินดูแลมิให้ขัดสนจนเป็นที่ชื่นชมของชาวโลก
ในยามนั้นแม้ประเทศไทยประสบความยากลำบากและความช่วยเหลือสนับสนุนจากต่างชาติก็มีน้อยมาก แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยปริปากบ่น ก้มหน้าก้มตาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน ซึ่งเป็นที่รู้ดีของชาวโลกทั้งหลาย
สิ่งที่เรียกว่าการเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารคือพึ่งความร่มเย็นแห่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของบรรดาผู้เดือดร้อนทั้งหลาย ครั้นเสร็จศึกสงครามแล้วพวกเขาก็เดินทางกลับบ้าน บางส่วนติดใจประเทศไทยไม่ยอมกลับ มาตั้งรกรากทำมาหากินก็มีเป็นจำนวนมาก
ที่คุณธนาธรพูดนั้นเป็นเรื่องผู้อพยพชาวโรฮีนจา ซึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในบังกลาเทศ และถูกอังกฤษวางหมากวางกล
ระดมผู้คนเข้ามาอยู่ในรัฐยะไข่ของพม่า ซึ่งดั้งเดิมนั้นรัฐดังกล่าวนี้ก็มีประชากรชาวพม่าที่นับถือศาสนาพุทธแต่ไม่หนาแน่นนัก ครั้นนานวันเข้าประชากรชาวโรฮีนจาก็เพิ่มมากขึ้น และยังมีการดำเนินการทางการเมืองระหว่างประเทศหมายปองจะยึดครองรัฐยะไข่ให้แยกเป็นอิสระ ดังนั้น จึงมีการระดมชาวโรฮีนจาจากทั่วสารทิศเข้ามาอยู่ในรัฐยะไข่
ยิ่งนานวันเข้าประชากรชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่ก็กลายเป็นชาวมุสลิม และเป็นมุสลิมสำนักคิดที่มหาอำนาจต้องการให้เป็นเพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือทำการใหญ่ในอนาคต คือแยกดินแดนรัฐยะไข่ออกเป็นรัฐอิสระ
ฝ่ายทหารของพม่าเข็ดหลาบกับอังกฤษที่เคยยึดพม่าเป็นเมืองขึ้นและข่มเหงย่ำยีบรรพบุรุษชาวพม่าที่ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดก็เห็นชัดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นสงครามชนิดหนึ่ง คือ “สงครามประชากร” ที่เพิ่มจำนวนประชากรชาวโรฮีนจา ซึ่งสักวันหนึ่งก็อาจมีการลงประชามติให้แยกรัฐยะไข่เป็นอิสระภายใต้การสนับสนุนของต่างประเทศแบบเดียวกับการแยกติมอร์ตะวันออกออกจากอินโดนีเซีย
ดังนั้นรัฐบาลพม่าแต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่ยอมรับว่าชาวโรฮีนจาเป็นประชากรของพม่า ไม่ยอมออกบัตรประชาชนให้ และไม่ยอมรับสิทธิใดๆ ในประเทศพม่า จึงทำให้ชาวโรฮีนจาอยู่ในพม่าอย่างผิดกฎหมายและมีความเป็นปรปักษ์กับพม่ามากขึ้นโดยลำดับ
ความจริงรัฐยะไข่อยู่ไกลจากประเทศไทยและมีหลายพื้นที่คั่นกลางอยู่ และความจริงในภูมิภาคนี้ก็มีประเทศมุสลิมอยู่หลายประเทศ ควรที่ชาวรัฐยะไข่จะได้ไปพึ่งพาประเทศเหล่านั้นแต่ปรากฏว่ามีสายสนกลในมากหลายพยายามนำชาวโรฮีนจาเข้ามาประเทศไทยไม่ขาดระยะและกระจายตัวไปตั้งหลักปักถิ่นฐานอยู่ในหลายพื้นที่
ครั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐบาลในพม่า โดยฝ่ายทหารได้ยึดอำนาจรัฐบาลก่อน ก็มีการอ้างเหตุว่ารัฐบาลพม่าข่มเหงรังแกชาวโรฮีนจา ก็เกิดการนำชาวโรฮีนจาออกจากรัฐยะไข่ข้ามน้ำข้ามทะเลและลักลอบเดินทางโดยทางบกด้วยประการต่างๆ เข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก
โดยอ้างว่าเป็นผู้ลี้ภัยและประสบภัยสงครามในพม่า ประเทศไทยก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อและไม่เคยระแวงแคลงใจว่าการหลั่งไหลของชาวโรฮีนจามีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่ ทั้งรัฐบาลและประชาชนก็มีน้ำใจให้การอนุเคราะห์ด้วยค่าใช้จ่ายของประเทศไทยและจัดพื้นที่หลายพื้นที่ในประเทศไทยให้ชาวโรฮีนจาได้พักอาศัย
ตั้งแต่พื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภออุ้มผาง อำเภอแม่ฮ่องสอน และรายเรียงลงมาใกล้กาญจนบุรี ว่ากันว่ามีชาวโรฮีนจาอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้วไม่น้อยกว่า 700,000 คน เป็นจำนวน 700,000 คนที่กินข้าวคนไทยกินอาหารจากประเทศไทย ใช้สอยทุกสิ่งอย่างของประเทศไทยจะมีต่างชาติให้การช่วยเหลือบ้างก็กะปริบกะปรอยเหมือนคนเป็นโรคปัสสาวะขัดเบา
ปริมาณชาวโรฮีนจาที่เข้ามาในประเทศไทยมีมากจนพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่คนไทยอยู่อาศัยก็อยู่ต่อไปไม่ไหว ถึงกับขายที่ขายทางอพยพออกนอกพื้นที่เป็นอันมาก เป็นที่เดือดร้อนทุกข์เข็ญ แต่กลับไม่มีใครหน้าไหนเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนไทยเจ้าของถิ่นเดิมเลย
ชาวโรฮีนจาเมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้วก็ไม่ยอมรับนับถือใดๆ ของประเทศไทย ทำตัวแปลกแยกจากความเป็นอยู่
ของชาวไทยโดยสิ้นเชิง ทั้งอาหารการกิน วัฒนธรรม และการเป็นอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น จนคนพื้นที่เดิมถึงกับออกปากว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตนกำลังกลายเป็นเมืองแขกไปแล้วอยู่ต่อไปก็ไม่ได้ จึงต้องอพยพขายที่ขายทางปล่อยให้ชาวโรฮีนจาที่เข้ามารุ่นก่อนๆ ซื้อเอาไปในราคาถูกๆ แล้วไปทำธุรกิจค้าขายกับชาวโรฮีนจาด้วยกัน
สภาพเช่นนี้คือการแย่งยึดดินแดนชนิดหนึ่ง คือการเบียดเบียนคนไทยชนิดหนึ่ง ในขณะที่ประเทศมุสลิมในย่านนี้
ไม่มีใครยอมรับ และประเทศอื่นๆ ที่อวดนักอ้างหนาว่าเป็นนักมนุษยธรรมก็ไม่มีประเทศไหนยอมรับ ดังนั้นเคราะห์ซ้ำกรรมหนักจึงตกอยู่แก่ประเทศไทย
ดังนั้น หากคุณธนาธร หรือใครก็ตามที่จะตำหนิติเตียนว่าประเทศไทยไร้น้ำใจก็ควรเดินทางไปในพื้นที่เหล่านี้สักครั้ง ไปสอบถามคนไทยที่หลงเหลืออยู่ว่ามีชีวิตที่เป็นปกติสุขเหมือนแต่ก่อนหรือว่าเดือดร้อนทุกข์เข็ญประการใด
และจะได้เห็นให้เต็มตาว่าแผ่นดินประเทศไทยที่บรรพบุรุษสู้รักษาไว้จนถึงรุ่นปัจจุบันนี้กำลังถูกชนอีกเผ่าหนึ่งเข้ามาแย่งยึดอย่างหน้าตาเฉยภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งถ้าหากเห็นสภาพเช่นนั้นแล้วก็จะได้เข้าใจสภาพที่เป็นจริงได้ถูกต้องและจะได้เป็นปากเป็นเสียงแทนคนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญกลายเป็นผู้อพยพหลบภัยไปเสียเองในขณะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี