8 ปีของประเทศไทยภายใต้การนำพาของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเราต่าง ได้เห็นการใช้ศัพท์แสงทางภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการพัฒนา และเปลี่ยนรูปโฉมเศรษฐกิจของไทยอย่างกว้างขวาง เช่น Creative Economy,Innovation, 4.0, Smart Cities, Digital Economy, Special Economic zone, Eastern Economic Corridor, Prompt Pay, Hi Speed Train ไปจนถึง Dwai Deep Seaport Development (ที่พม่า) เป็นต้น
โดยล่าสุดก็ยังได้ยิน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงคำว่า BCG เป็นนิจสิน ซึ่งบ่งบอกความประสงค์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าต้องการจะใช้เศรษฐกิจเทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มาช่วยพัฒนาประเทศด้วย ซึ่งพอจะขยายความสั้นๆ ของแต่ละตัวย่อ ให้พอเข้าใจกันได้ดังนี้ :
- Bio(Tech.) Economy เป็นระบบเศรษฐกิจที่นำความรู้และนวัตกรรม โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาช่วยพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพและผลผลิต ทางเกษตรให้เป็นสินค้าและบริการที่ใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
- Circular Economy เป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน โดยการ นำมาใช้ประโยชน์ใหม่
- Green Economy เป็นเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานทดแทนและหมุนเวียนแทนการใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เป็นต้น
ที่ต้องมาช่วยขยายความกัน ก็เพราะในการกล่าวถึงคำว่า BCG ที่ผ่านๆ มา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น มิได้เคยอธิบายความ หรือแปลเป็นไทย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และขอการสนับสนุนจากปวงชนชาวไทยแต่อย่างใด ซึ่งหากทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนพลเมืองจะสามารถเดินร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่อง BCG นี้
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรียังมิเคยได้กล่าวอย่างแน่ชัดว่า เรื่อง BCG จะยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะเวลา 5 ปีกันอย่างไร? รวมทั้งเรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลได้มีการนำพาไปสู่การพินิจพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติมากน้อยแค่ไหน? พรรคร่วมรัฐบาลเองได้กำหนดให้เรื่อง BCG เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพรรคหรือไม่อย่างไร? อีกทั้งในการประชุมหารือระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับสถาบันเอกชนต่างๆ โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้า ก็ดูเสมือนว่ายังไม่มีการร่วมหารือกันอย่างจริงจังว่า จะร่วมมือและแบ่งแยกภารกิจในการส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG ให้เป็นจริงเป็นจังด้วยกระบวนการแบบไหน?
ในด้านการผลักดันจากทางภาครัฐ ก็ยังไม่มีข่าวคราวว่า ทางฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นั้น ได้มีการจัดตั้งงบประมาณเพื่อการวิจัยค้นคว้าเรื่อง BCG และมีการประสานและมอบหมายให้มหาวิทยาลัยของรัฐไปดำเนินการการค้นคว้าวิจัยกันอย่างไรบ้าง? และจะเปิดทางให้มหาวิทยาลัยเอกชนได้เข้ามามีบทบาทร่วมกันอย่างไร มากน้อยเพียงใด?
ในขณะเดียวกัน ในแวดวงการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งประถมและมัธยมนั้น ได้มีการเตรียมครูผู้ฝึกสอนทางด้าน BCG กันหรือยัง? และมีการจัดทำหนังสือเรียนเรื่อง BCG กันแล้วหรือไม่?
ซึ่งทั้งหมดนี้ สังคมก็ยังต้องการคำตอบจากฝ่ายรัฐบาล โดยในชั้นนี้ก็อาจจะสรุปความได้ว่า ทั้งองคาพยพของสังคมไทยยังไม่รับรู้และไม่เข้าใจในเรื่อง BCG อย่างลึกซึ้ง และยังไม่รู้ตัวว่าจะมีส่วนได้เสียได้มากน้อยแค่ไหน
หากย้อนมองกลับไปในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นว่า วลีภาษาอังกฤษต่างๆ ที่พูดเอาไว้มากมายต่างก็ค่อยๆ จืดจางหายไปจากความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำของทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายสื่อสาธารณะ เหมือนคลื่นกระทบฝั่งแต่อย่างไรก็ดีเรื่อง BCG นั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เป็นสิ่งทันยุคทันสมัย เนื่องจากเป็นเรื่องที่โยงใยกับความอยู่ดีกินดีของปวงชนชาวไทย ต่อความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของไทย อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีต่อโลกกว้าง ทั้งในเรื่องการรักษาและฟื้นฟูสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การแก้ไขปัญหาความยากจน และการต่อสู้กับโรคระบาด ไปจนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และประเด็นปัญหาของผู้อพยพลี้ภัย และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ นานา
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้นเป็นนักปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งต่อมาก็ก้าวเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็จัดได้ว่าเป็นผู้ที่แสนจะโชคดีคนหนึ่งที่ปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่ เทใจเทคะแนนให้ เพราะภาพลักษณ์ความรักชาติบ้านเมือง ความซื่อสัตย์สุจริต และความตั้งอกตั้งใจ อีกทั้งประเทศไทยก็แสนจะโชคดีที่อุดมสมบูรณ์ ที่อำนวยให้การบริหารราชการบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นผู้นำคนใดนั้นค่อนข้างจะง่าย ไม่สลับซับซ้อน เท่ากับผู้นำอื่นๆ ทั้งโลกที่เขาต้องเผชิญปัญหาต่างๆ กว่าไทยเยอะ
เมื่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติโดยทั่วไปของไทยก็มีภาษีกว่าประเทศอื่นๆ ประเด็นปัญหาจริงๆ จึงกลับมาที่ระดับความสามารถ สติปัญญาฝีไม้ลายมือ ของระดับผู้นำและชนชั้นปกครองประเทศชาติเป็นสำคัญ ซึ่งจัดได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแต้มต่อกว่าผู้นำประเทศอื่นๆ อย่างมากมายมหาศาล เพราะประเด็นปัญหาของไทยนั้นจัดได้ว่าน้อยนิดดังกล่าว สำหรับไทยนั้นจึงขึ้นอยู่กับฝีมือในการบริหารจัดการบ้านเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งเมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาเรื่อง
BCG เป็นเป้าหมายในการเปลี่ยนรูปโฉมเศรษฐกิจของประเทศ ก็ต้องมีฝีมือในการจัดทำแผน วางมาตรการและกลไก ในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ และต้องสามารถดำเนินการดังกล่าวควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าและเชื้อเพลิง และปัจจัยทางการผลิตด้านการเกษตร ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบอยู่แล้วและไม่เกินวิสัย เพราะต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ปัญหาต่างๆ ของไทยโดยรวมแล้ว ไม่สาหัสเหมือนกับปัญหาที่ผู้นำของประเทศอื่นๆ เขากำลังเผชิญอยู่กันทั่วโลก
ผู้นำไทยจึงไม่ควรปล่อยให้ BCG ค่อยๆ จางหายไปเช่นเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านๆ มา ควรได้เดินหน้าผลักดันให้เกิดความสำเร็จโดยเร็วเพราะไม่มีข้ออ้างใดๆ ว่า ไม่สามารถกระทำไม่ได้ หรือประเด็นปัญหาต่างๆ เกินความสามารถของรัฐบาลไทย ในสภาวะที่ได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกอีกมากมายเช่นนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี