คนจน คือกลุ่มคนที่เปราะบางมากที่สุดในสังคมโลก (แต่เราจะยังไม่วิเคราะห์ว่าทำไมคนจึงยากจน) เพราะคนจนไม่มีเบาะรองรับใดๆ ในเวลาที่เขาต้องเผชิญกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้าย เนื่องจากเขาไม่มีเงินรองรัง ไม่มีเงินเก็บ ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในความเสี่ยงมากที่สุด
ในยามที่สังคมเกิดปัญหาเงินเฟ้อ เงินฝืด หรือเงินเฟ้อผสมเงินฝืดในคราวเดียวกัน (stagflation) คนจนก็จะกลายเป็นกลุ่มคนที่เดือดร้อนแสนสาหัสมากกว่าคนที่ยังมีเงินรองรัง หรือพวกมหาเศรษฐี
อ้างอิงตัวเลขเงินเฟ้อของไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 ทางการระบุชัดว่าเฟ้อสูงสุดในรอบ 13 ปี อยู่ที่ระดับ 7.1 เปอร์เซ็นต์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ระบุชัดด้วยว่าอัตราเงินเฟ้อในไทยจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึงสิ้นปี 2565
เงินที่เฟ้อมากถึง 7.1 เปอร์เซ็นต์บอกอะไรกับเราทุกคนตอบว่า มันบ่งบอกว่าราคาข้าวของต่างๆ นานา ที่เราต้องจ่ายเงินซื้อหานั้นมันมีราคาแพงขึ้นไปอีกอย่างน้อย 7.1 เปอร์เซ็นต์ หรือพูดง่ายๆคือค่าของเงิน 1 ร้อยบาท หายไปอย่างน้อย 7.1 บาท คือของมีราคาแพงขึ้นนั่นเอง
ยกตัวอย่างเรื่องเงินเฟ้อให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ ในยุคหนึ่ง เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว คุณจ่ายเงินเพียง 2-3 แสนบาท คุณก็สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ที่ปลูกสร้างในเขตลาดพร้าวซอยลาดพร้าวต้นๆ ได้ห้องหนึ่ง แต่ปัจจุบันเงิน 2-3 แสนบาท ไม่สามารถซื้อได้แม้กระทั่งที่ดินแค่เพียง 5 ตารางเมตร ในบริเวณลาดพร้าวซอยต้นๆ หรือเอาให้ชัดมากขึ้นไปอีกคือ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณจ่ายเงิน 20-30 บาท คุณก็กินข้าวแกงริมถนนได้แล้ว 1 จาน แต่ปัจจุบันคุณต้องจ่ายเงินอย่างน้อย 40-50 บาท เพื่อให้ได้ข้าวแกงจากร้านริมถนน 1 จาน
ทุกวันนี้ หากคุณมีเงินติดกระเป๋าแค่ 200-300 บาท ถามว่าคุณซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้บ้าง แล้วคุณก็คงรู้ดีว่า ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่มีเงินติดกระเป๋าเลย เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่าคนเหล่านั้นจะมีสภาพชีวิตอย่างไร
คนเรานั้นไม่ว่าจะจนหรือรวย ก็ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวันไม่ต่างกัน เพราะต้องกินข้าว ต้องจ่ายค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าค่าเดินทาง ส่วนคนรวยไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน เพราะมีบ้านของตัวเองแต่คนจนต้องเช่าบ้านอยู่ เพราะไม่มีบ้านของตัวเอง ที่นี่ลองเปรียบเทียบระหว่างคนจนกับคนรวยที่ต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าใครคือกลุ่มคนที่เดือดร้อนมากกว่ากัน คนที่ได้เงินเดือนแค่ 6 พันบาท กับคนที่ได้เงินเดือนเดือน 6 หมื่นบาท ก็ต้องเจอปัญหาเงินเฟ้อในอัตราเดียวกัน แต่คนที่มีเงินเดือนละ 6 พันบาท จะประสบปัญหาหนักกว่าคนที่มีเงินเดือนละ 6 หมื่นบาท เพราะค่าของเงิน 6 พันบาท หายไปแล้ว 7.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนเงินเดือน 6 หมื่นบาท ก็เจอปัญหาเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าคนเงินเดือน 6 พันบาทนั้น แค่เจอราคาข้าวแกงริมถนนจานละ 40-50 บาท ก็แย่แล้ว แล้วไหนจะต้องเจอค่าสินค้าอื่นๆ แพงอีก ไหนจะเจอราคาค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้น ราคาก๊าซหุงต้มแพงขึ้น ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น แพงไปทุกสิ่งอย่าง แต่เงินได้มีเท่าเดิมคือ 6 พันบาท ถามว่าจะอยู่อย่างไร จะกินข้าวแค่วันละมื้อ แล้วคืนบ้านเช่า แล้วไปนอนตามป้ายรถเมล์ กระนั้นหรือ
เราทุกคนทราบดีว่าคนจนคือคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในสังคมไทยคนกลุ่มนี้มีรายได้ต่ำ มีหนี้สินสูงมาก คนจนไม่มีโอกาสเข้าถึงการกู้เงินในระบบ แต่เขาก็ต้องใช้เงินทุกวัน ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบ ซึ่งการกู้เงินนอกระบบต้องทำให้เขาจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก (ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องกลับมาพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับผู้ให้กู้เงินนอกระบบด้วย เพราะเขาไม่มีเครื่องค้ำประกันใดๆ เลย)
เงินเฟ้อเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้น การจะก่นด่ารัฐบาลว่าเป็นต้นเหตุเงินเฟ้อก็อาจจะไม่ถูกต้องไปทุกกรณี เพราะบางปัจจัยนั้น รัฐบาลก็ไม่มีปัญญาควบคุมมันได้ เช่น สงครามที่เกิดขึ้นเพราะรัสเซียรุกรานยูเครน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงขึ้นอย่างมาก เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ด่าว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำมันแพงได้ ก็น่าจะต้องด่าตัวเองด้วยที่ไม่เคยรู้เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของสังคมโลก แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลก็จำเป็นต้องหาทางแก้ปัญหาข้าวของมีราคาแพง และปัญหาเงินเฟ้อให้ได้ เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเผชิญปัญหาหนักจนถึงขั้นไม่มีเงินซื้อสินค้า
ปัญหาคือรัฐบาลจะมีปัญญาแก้ปัญหาความเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับคนจนที่จนจริงๆ ได้อย่างไร รัฐบาลต้องเลิกแก้ปัญหาแบบไร้ทิศผิดทาง เพราะไม่ได้ช่วยคนจนจริงๆ แต่กลับไปช่วยคนที่ยังพอจะประคองชีวิตได้ เช่น นโยบายเราเที่ยวด้วยกัน หรือยิ่งช้อปยิ่งได้ เป็นต้น แต่รัฐบาลต้องพุ่งเป้าไปช่วยคนจนจริงๆ ให้ได้ เพราะคนจนที่จนจริงๆ กำลังจะตาย เนื่องจากไม่มีเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแล้วก็กำลังเผชิญกับปัญหาดอกเบี้ยมหาโหดจากหนี้นอกระบบเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขให้ได้โดยเร็ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี