ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา “มองอนาคตประเทศไทย” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
ให้มุมมองทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจมาก
สะท้อนทั้งความจริง ความหวัง ความเป็นไปได้ และความเสี่ยง
จับประเด็นสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
1. ดูเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจหลายประเทศ เคลื่อนไปตามขั้นตอนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ที่มีทั้งช่วงเศรษฐกิจถดถอย ตกต่ำ และขยายตัว
ช่วงโควิดระบาด ผลกระทบรุนแรงมากในปี 2563 และ 2564 หลายประเทศมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้เศรษฐกิจลดลงมาก จนบางประเทศเกิดภาวะถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจโลกหดตัวถึง 3.1% ในปี 2563 รวมถึงประเทศไทยที่ถูกกระทบมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบไปถึง 6.1%
แต่ในปี 2564 หลายประเทศกลับมาฟื้นตัว จากการผ่อนคลายการควบคุม ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวถึงระดับ6% ขณะที่ไทยกลับมาฟื้นตัวเป็นบวก 1.6%
เศรษฐกิจไทยปีนี้ และปีหน้า ประเมินว่า จะขยายตัวอยู่ที่ 3.3% และ 4.2%
2. เศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2565 เกิดสงครามรัสเซียยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศ ถือเป็นความท้าทายของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวดีนัก ที่ต้องเจอกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งจากวิกฤตโควิดที่ผ่านมาและวิกฤตจากเงินเฟ้อ จากความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์
3. บางประเทศ เกิดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง และประสบปัญหาได้ค่อนข้างรุนแรง เช่น ศรีลังกา ปากีสถาน หรือลาว ที่เริ่มมีความเปราะบาง จากการต้องเผชิญกับวิกฤตเงินเฟ้อที่เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตเข้ามา
4. เศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงกับโลกใกล้ชิด เมื่อเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบก็ส่งผลกระทบมาสู่เศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก
แม้ที่ผ่านมาประเทศคู่ค้าไทยฟื้นตัวได้ดี ส่งผลให้ภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย และปีนี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ แม้ลดลงก็ตาม ขณะที่จากโควิดเริ่มซา ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด ทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนอีกตัวให้กับเศรษฐกิจไทย
5. นโยบายการเงิน และความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเงิน ที่ผ่านมาเศรษฐกิจพยายามดำเนินนโยบายการเงินการคลังให้เหมาะสม และรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ พยายามรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน พยายามรักษาบาลานซ์ ระหว่างการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ
นโยบายการเงินการคลัง มีส่วนช่วยที่สำคัญในช่วงที่เจอโควิดหนักๆ ผ่านการผ่อนคลายมาตรการทางการเงินการคลังค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีการเข้าไปแซงแทรกนโยบายการเงินการคลังอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อโควิดซา ก็ต้องปรับทิศทางไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น เพื่อลดความร้อนแรงเศรษฐกิจ และลดภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว
6. ผลของสงครามรัสเซียยูเครน ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การประมาณการเงินเฟ้อ อาจไม่ได้เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะตามกรอบของ กนง. ที่คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1-3% แต่ปัจจุบันเงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสู่ 6.2% ในปีนี้ได้ ตามราคาน้ำมันโลก และราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ดังนั้น จากเคยประมาณการเงินเฟ้อที่ 4.8% ก็ต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.2%
แต่หากถามว่าเงินเฟ้อที่ระดับ 6.2% ในอดีตเคยมีหรือไม่ ก็เคยมี
เงินเฟ้อปัจจุบัน เริ่มเห็นการส่งผ่านต้นทุน กระจายตัวไปสู่หลายสินค้ามากขึ้น ทำให้ตะกร้าเงินเฟ้อพื้นฐาน แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น
ภาคครัวเรือน ธุรกิจ ต้องปรับตัวรับความเสี่ยงกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเฉพาะบางธุรกิจที่มีมาร์จิ้นต่ำ ธุรกิจกระทบแน่ และกระทบไปสู่ครัวเรือนให้มีกำลังซื้อลดถอนลงไป เป็นเรื่องที่ต้องติดตามความเสี่ยงที่มาจากเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านดีมานด์ด้วย หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ดังนั้นเงินเฟ้อ อาจมาจากทั้งแรงกดดันด้านดีมานด์และแรงกดดันซัพพลายได้
กนง. จึงเริ่มมีการ “ส่งสัญญาณ”ปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน จะส่งผลกระทบต่อหลายด้าน ทั้งด้าน ต้นทุนทางการเงิน ราคาสินทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน การคาดการณ์ของตลาด ที่มีผลกระทบต่อหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ เป็นธรรมดา ที่กนง.จะต้องทำเรื่องนี้อย่างระมัดระวังสูง เพราะมีผลกระทบต่อเรื่องต่างๆ ก็เพื่อพยายามรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพเศรษฐกิจในภาพรวม
และที่สำคัญมาก คือ พยายามยึดโยงการคาดการณ์เงินเฟ้อให้อยู่ภายใต้คาดการณ์ให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้ อาจส่งผลให้ภาคธุรกิจ มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ผู้บริโภคก็แพลนว่าของจะแพงขึ้น ต้องเร่งตุนสินค้าก่อน จึงเป็นช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ภายใต้การฟื้นตัว ของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เข้มแข็งนัก ดังนั้น จะประคองอย่างไร บวกกับภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ที่เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มต่างๆ
7. สิ่งที่สร้างความกังวลเพิ่ม คือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจกระทบต่อคู่ค้าสำคัญของไทย ในปี 2565-2566 ที่อาจทำให้ประเทศคู่ค้ามีอัตราการเติบโตที่ลดลงได้
อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของไทยด้วย
อีกด้านที่ต้องติดตาม คือ เศรษฐกิจจีน ว่าจะสามารถเติบโตในอัตราเดิมหรือไม่ เพราะไทยมีความเกี่ยวโยงกับจีนค่อนข้างมาก หากดูมูลค่าการค้าระหว่างไทยจีน มีสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท หรือ 20% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทย ดังนั้น ต้องติดตามว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวหรือไม่
ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจนำไปสู่ การกีดกันทางการค้า การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้อาจเป็นปัญหาในการเชื่อมโยงระหว่างโลกให้มีอุปสรรคมากขึ้น หากปัญหาเหล่านี้รุนแรงจนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
มองว่า ภายใต้ความเสี่ยงต่างๆ เศรษฐกิจไทย อยู่ในฐานะ “ resilience” หรือมีความยืดหยุ่น ทนทานเพียงพอ ด้วยเหตุผลที่เราได้สร้างภูมิคุ้มกันระดับหนึ่งไว้ ทำให้เศรษฐกิจไทย น่าจะผ่านพ้นความผันผวนนี้ไปได้ ไม่น่าจะเกิดวิกฤตในระยะข้างหน้า
หากดูเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัว ปีก่อน 1.6% ปีนี้คาดการณ์ 3.3% และปีหน้าหากขยายตัว 3-4% เศรษฐกิจไทยก็สามารถฟื้นตัวไปเท่ากับก่อนโควิด-19 ได้
ระดับเศรษฐกิจมหภาคอาจไม่น่าห่วง แต่ระดับจุลภาค หรือเศรษฐกิจรายย่อย อาจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน บางกลุ่มอาจมีความเปราะบางสูงดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรทำมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม
8. เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องปฏิรูป และปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 3 ด้านสำคัญ
ด้านแรก การเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งอุตสาหกรรมที่ชำนาญอยู่แล้ว และอุตสาหกรรมใหม่ การขยายโอกาสและการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศกลุ่ม CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 400 ล้านคน รวมถึงการผลักดันให้เราเป็นฮับ ด้าน Innovation Hub และ Startup nation ที่รายได้หลักมาจากการสร้างนวัตกรรม
ด้านที่สอง การลดความเหลื่อมล้ำ โดยการพัฒนาหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคควบคู่ไปกับกรุงเทพฯ สร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานการปฏิรูประบบภาษี การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนหากมองไปข้างหน้า ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของการประกอบธุรกิจ รูปแบบธุรกิจ จะทำให้งานหลายอย่างเปลี่ยนแปลง อาจถูกลดถอนไปใช้เครื่องจักรมากขึ้น นอกจากนี้ประเทศกำลังก้าวสู่สังคมสูงอายุ ที่มีแนวโน้มหาแรงงานยากขึ้น ค่าจ้างสูงขึ้น ทำให้บริบทในอนาคต มีความท้าทายกับเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ด้านที่สาม การปฏิรูปโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ ผ่านการปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจให้ทันสมัย ทำให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ การปรับปรุงกลไกหน่วยงานภาครัฐทั้งในและระดับยุทธศาสตร์ การปฏิบัติ และการติดตามประเมินผลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หวังว่า ทีมเศรษฐกิจที่นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้นใหม่และนั่งเป็นประธานด้วยตนเอง จะระดมกำลังคิด (อย่างความเห็นของ ดร.ประสารข้างต้น) และกล้าตัดสินใจฉับไว ทันการณ์ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนเห็น จับต้องได้ เป็นรูปธรรม
หมดเวลาลังเล ใครเป็นตัวถ่วงต้องถอยไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี