หลังจากได้ยินสูตรการเลือกตั้งที่โหวตกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากข่าวๆ เมื่อมาคิดๆดูแล้ว ก็ไม่แน่ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งติดต่อกันยาวนานที่สุดของประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ซึ่งหากจะบอกว่าเพียงเพราะโชคลาภ บุญบารมี ก็คงจะไม่เป็นการเพียงพอ และจะดูเสมือนกับเป็นการดูถูกดูแคลนกับสติปัญญาและฝีไม้ลายมือของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กันเกินไป
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องมีดีเป็นแน่แท้ เพราะบ้านเมืองโดยทั่วไปก็ดูสงบเรียบร้อยดีมีเสถียรภาพ รัฐบาลก็เคลื่อนตัวไปได้ ไม่โลดโผน ดุดันหรือเร้าอกเร้าใจ แต่ก็ประคองตัวมาได้โดยตลอด และคู่แข่งคู่ต่อสู้ก็ไม่มีการปรากฏตัวเป็นที่แน่ชัด
ก็จะมีแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เต้นแร้งเต้นกาอยู่ที่ดูไบ แล้วก็สร้างเรื่องสร้างราวเสนอความคิดและหุ่นเชิดออกมาเป็นครั้งคราวให้เป็นที่ฮือฮากันชั่วครั้งชั่วคราว ก็เพื่อให้สื่อสารมวลชนได้มีวัตถุดิบเพื่อทำข่าวและวิพากษ์วิจารณ์ไปตามเรื่องเท่านั้น
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพรสวรรค์ (หรือมีบุญ) ที่ไม่มีใครถือโทษโกรธอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะมีหน้าตา ท่าทาง การพูดจาที่รุกล้ำรุกเร้า ก้าวร้าวเป็นบางครั้ง แต่ก็คนเขามองว่าเป็นคนจริงใจ และมีความเป็นกันเอง จึงไม่มีใครเก็บเอาไปเป็นอารมณ์ยาวนานเพื่อตอบโต้ ที่สำคัญชีวิตส่วนตัวทางด้านครอบครัวดูก็เรียบง่าย ไม่มีบุคคลในครอบครัว หรือเครือญาติมาก้าวก่ายในหน้าที่การงาน ก็เลยไม่มีประเด็นนี้มาโจมตีทางการเมือง
และแม้ลักษณะท่าทางของพลเอกประยุทธ์อาจจะไม่ดูปราดเปรื่อง หรือเป็นผู้นำแบบดิจิทัล แต่ก็ยังไปได้เรื่อยๆ แบบเนิบนาบ เพราะไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือวาระซ่อนเร้นในการบริหารบ้านเมืองอย่างที่บรรดานักการเมืองเขี้ยวลากดินเป็นกัน
ภายใต้ความเรียบง่าย และความเป็นกันเองที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเป็นน้ำนิ่งไหลลึก ไม่ทำตัวโลดโผน แต่วางหมากให้ตนเองอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน ซึ่งการนี้ก็ต้องยอมรับกันว่าเป็นมือฉมังทางการเมืองเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการที่:-
1.จัดโต๊ะหารือให้กับคู่กรณีทางการเมืองมาถกเถียงกันให้พอหอมปากหอมคอ ก่อนจะทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจแบบเชือดนิ่มๆ เพราะทุกฝ่ายที่ครองอำนาจต่างรวมกันอยู่ในสถานที่เดียว
2.ใจเย็นรอ ปล่อยให้สถานการณ์วิกฤตการเมืองสุกงอมเต็มที่ ก่อนจะปฏิวัติ ทำให้ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายในฐานะผู้หยุดยั้งสงครามกลางเมือง ส่งผลให้ไม่ต้องเหนียมอายที่จะตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ในขณะที่นักปฏิวัติรุ่นพี่ๆ จำเป็นต้องใช้บริการตัวแทน (หรือหุ่นเชิด)ขึ้นบริหารบ้านเมือง เพื่อลดแรงเสียดทานจากสังคม
3.ในการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตลอดมา ก็มิได้มีการดำเนินการใดๆ ในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ รวมทั้งเรื่องการอภัยโทษ โดยปล่อยให้บรรดาผู้ออกมาประท้วงไม่ว่าสีใดทยอยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกันไปตามยถากรรม จนสามารถถอนรากถอนโคนการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาสังคมทุกฝ่ายด้วยคดีความที่ติดหลัง
4.การใช้กฎหมายความมั่นคงต่างๆ จนถึงการประกาศการใช้กฎหมายฉุกเฉินว่าด้วยการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 อย่างยาวนาน ซึ่งมีนัยการตีกรอบสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การรวมตัวประท้วงของประชาชน
5.การใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการขจัดผู้เห็นต่างและผู้สร้างตัวเป็นคู่อริทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนหนุ่มสาว ทั้งนักเรียนและนิสิต นักศึกษา
6.การใช้นโยบายและมาตรการประชานิยมเพื่อซื้อใจ เสริมสร้างคะแนนนิยม และการสร้างความอ่อนเปลี้ยผู้ที่คิดอ่านจะประท้วง ต่อต้าน หรือลุกฮือ
7.การเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนผูกขาดและกลุ่มทุนกึ่งผูกขาด เพื่อเสริมสร้างฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ
8.การไม่ดำเนินการปฏิรูประบบราชการ โดยเฉพาะทหารและตำรวจ เพื่อคงไว้เป็นฐานอำนาจของตน
9.การโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกลุ่มพรรคเล็กพรรคน้อย โดยเฉพาะการแก้ไขกติกาเลือกตั้ง ให้ใช้ตัวเลข 500 แทน 100 เพื่อเป็นตัวหารให้ได้จำนวนคะแนนต่ำสุดต่อ 1 ที่นั่ง ในระบบบัญชีรายชื่อของผู้สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสริมสร้างฐานอำนาจและเสียงข้างมากในรัฐสภา เพื่อนำไปสู่การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้า
10.การขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่มีกติกาอำนวยให้ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อในการเลือกตั้งครั้งแรก หลังจากการปฏิวัติ รวมทั้งต่อรองพรรคต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุด เพื่อลดแรงเสียดทาน ในขณะที่ยังสามารถปูทางสู่การขึ้นสู่อำนาจอีกรอบของตน
11.การออกไปเยือนจังหวัดต่างๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ เพื่อไปทำหน้าที่ราชการบ้านเมือง ควบคู่ไปกับการหาเสียง หาคะแนนนิยม โดยปริยายได้อย่างแนบเนียน บ่งบอกว่ายังต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
12.การหาเสียงหาคะแนนนิยมดังกล่าว ได้บ่งบอกว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความมั่นใจว่า ข้อบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้บุคคลหนึ่งใดจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 8 ปีนั้นจะถูกตีความว่าไม่รวมระยะเวลา 5 ปีที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีจากการปฏิวัติ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ จึงไม่มีผลย้อนหลัง
13.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงประเมินสถานการณ์แล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะเอาชนะตนได้ในการแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง
การที่สามารถอยู่ในตำแหน่งนายกฯ มาได้ถึง 8 ปีและคิดว่าจะสามารถอยู่ต่อไปอีก 1 สมัย โดยที่ยังไม่มีผู้ใดกล้าหาญชาญชัยที่พอจะขึ้นมาท้าชิงได้ แถมที่ผ่านมา ยังไม่มีวิกฤตเหตุการณ์ใดๆ ที่จะสามารถสั่นคลอนเก้าอี้นายกฯ ได้ รวมทั้งคะแนนนิยมจากปวงชนชาวไทยโดยทั่วไป โดยเฉพาะจากกลุ่มผลประโยชน์ และฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างยังหนาแน่นอยู่เช่นนี้ ก็คงไม่ผิดนัก หากจะมอบฉายาทางการเมืองแก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “มือฉมังแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา”
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าลืมว่า แม้จะสามารถชนะทางยุทธวิธีได้อย่างยาวนาน แต่ก็ต้องมุ่งเอาชนะทางยุทธศาสตร์ให้ได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึง การนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากการจมปลักอยู่ในระดับประเทศรายได้ปานกลางที่ขาดองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่กับค่าแรงที่สูงขึ้นให้ไปสู่เป้าหมายของการเป็นประเทศพัฒนาระดับ 4.0 หรือการเป็นประเทศที่ฐานเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio-tech, Circular and Green Economy) และยกเลิกการพึ่งพานโยบายและมาตรการประชานิยม และการผูกอนาคตประเทศไว้กับการท่องเที่ยวและลัทธิบริโภคนิยม
ที่ผ่านมาเป็นเวลา 8 ปี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จในการประคับประคองตนเอง แต่ยังไม่สามารถนำพาประเทศเข้าสู่เส้นทางของการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับได้ทั้งภายในและนอกประเทศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องมุ่งทำตนให้เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปโฉมของประเทศให้ได้ แต่หากไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าจนชนะใจประชาชนแล้วล่ะก็ คงไม่ต่างกับการที่กองทัพบุกยึดพื้นที่ได้ แต่ไม่สามารถปกครองได้
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ชัยชนะนั้นก็จะเป็นประโยชน์เพียงแค่กับตนเอง และพรรคพวกที่ถือครองอำนาจ ในขณะที่ประเทศชาติถดถอย เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศเพื่อแข่งขันกับโลกกว้าง
ดังนั้น เมื่อหวังชนะในการเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องไม่ละเลยการเลือกคนดีมีฝีมือมาบริหารประเทศด้วย ถึงจะเป็นมือฉมังทางการเมืองอย่างแท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี