นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร รีบเคลมปั่นกระแสว่า “สิงหาคม 2565 ประยุทธ์ ครองอำนาจที่ยึดมาจากประชาชน และเป็นนายกฯ ต่อเนื่อง ครบ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ ได้เวลา มียางอายคืนอำนาจกลับไปให้ประชาชน”
จากนั้น กล่าวให้ร้ายโจมตีนายกฯ พลเอกประยุทธ์ ด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคาย ด้วยความเท็จ
ราวกับระบายความแค้นแทนนายใหญ่
รีบพูดจาสรุปเอาเอง ตามความคิดเอาเอง ตามผลประโยชน์ของพวกตนเองว่า “...วันที่ 23 สิงหาคม 2565 นี้ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี “ประยุทธ์” จะครองอำนาจครบ 8 ปี ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกัน “จับตามอง” และ“เฝ้าระวัง” การสืบต่ออำนาจของนายกรัฐมนตรีและพวกพ้อง เราจะได้รู้กันว่ามีใครเป็นผู้สนับสนุน เป็นเนติบริกร เป็นผู้คุ้มครอง สร้างเงื่อนไขและโอกาสให้ “ประยุทธ์” ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยไม่รู้จักอาย และไม่สนใจว่ากำลัง “ย่ำยี” หลักการกติกาในรัฐธรรมนูญซ้ำๆ เป็นครั้งที่เท่าไหร่”
ราวกับว่า หากใคร องค์กร สถาบันใด ทำหน้าที่วินิจฉัยประเด็น 8 ปี เป็นอื่นไปจากความเห็นของตนเองแล้ว ป้ายสีทันทีว่าเป็น“เนติบริกร” ทั้งๆ ที่ ความเห็นส่วนตัวของนายภูมิธรรมนั้น อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อน แล้วมีอคติกับผลประโยน์ส่วนตนชี้นำก็เป็นได้
ประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความว่า พรรคของนายภูมิธรรมจะต้องได้เป็นรัฐบาล
ไม่ได้หมายความว่า ความเห็นของนายภูมิธรรมเท่านั้นที่ถูกต้อง
ไม่ได้หมายความว่า ความต้องการของนายใหญ่เท่านั้นสำคัญที่สุด
และไม่ใช่ว่าเสียงของประชาชนที่เลือกพรรคตนเองเท่านั้น มีค่ามีความหมาย นับเป็นฝ่ายประชาธิปไตย สำคัญกว่าเสียงของประชาชนที่สนับสนุนพรรครัฐบาล
1.โมเมเอาเองว่า 24 ส.ค. 2565 นี้ นายกฯ จะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้
อ้างว่า วันที่ 23 ส.ค. 2565 คือ วันสุดท้ายของการทำหน้าที่ครบ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์
นั่นคือ นับตั้งแต่วันเริ่มเป็นนายกฯครั้งแรกเมื่อ 24 ส.ค. 2557 หลังตัดสินใจเข้าควบคุมอำนาจบริหารประเทศตั้งแต่ 22 พ.ค.2557
นี่คือความพยายามสร้างสตอรี่ ฝังความเชื่อ ตอกย้ำ ซ้ำๆ ผิดๆ
2.การโมเมเอาเองข้างต้น ไม่สนใจบริบท เจตนาของรัฐธรรมนูญทั้งมาตรา
ประการแรก การเป็นนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์สมัยแรก เริ่มต้นจาก 21 ส.ค. 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีวาระการประชุมให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ
ในวันนั้น ตวง อันทะไชย สนช.ที่ได้รับมอบหมายจากมติวิปสนช. ให้เป็นผู้เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นนายกฯคนที่ 29 โดยมีผู้รับรอง 188 คน และไม่ลงคะแนน 1 คน หลังจากใช้เวลาประมาณ 30 นาที การออกเสียงจึงเสร็จสิ้น
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ได้ประกาศผลการลงคะแนนออกเสียงมีผู้เห็นชอบให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ 191 คน งดออกเสียง3 คน ไม่เข้าร่วมประชุม 3 คนจากสมาชิก สนช.197 คน
จากนั้น ประธาน สนช.เป็นคนเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกฯ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯในวันที่ 24 ส.ค.2557
นายพรเพชร ในฐานะประธานสนช. เป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ
ชัดเจนว่า การเป็นนายกฯครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นการมาเป็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่มี 48 มาตรา โดย มาตรา 19 ได้ระบุการได้มาของนายกฯ ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นอีกจํานวนไม่เกินสามสิบห้าคนตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคําแนะนํา ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ดําเนินการให้มีการปฏิรูปในด้านต่างๆ และส่งเสริมความสามัคคีและ ความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ”
ประการที่สอง หลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ 7 ส.ค. 2559 จากนั้นก็มีการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ในวันที่ 24 มี.ค.2562
จากนั้น ในวันที่ 5 มิ.ย. 2562 รัฐสภาโด สส. และ สว.ลงมติเลือกนายกฯคนใหม่
ลงคะแนนแข่งขันกัน ที่หอประชุมใหญ่ บ.ทีโอที จำกัด (มหาชน)ถนนแจ้งวัฒนะ เป็นที่ประชุมสภา
สส.เข้าร่วม 497 คน จาก 500 คน สว.อีก 250 คน รวมองค์ประชุม 747 คน
โดยบุคคลที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง (375 คน)
มีผู้เข้าชิง 2 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐเสนอตามบัญชีรายชื่อแค่คนเดียว กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่
ผลปรากฏว่า ที่ประชุมจำนวน 500 คน เลือก พล.อ.ประยุทธ์
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์เลยได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง นับเป็นนายกฯสมัยแรกที่มาตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อ 9 มิ.ย. 2562
ประการสำคัญ บทบัญญัติที่ห้ามเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี ที่อมน้ำลายมาพูดต่อๆ กันนั้น ไม่ได้เอามาทั้งมาตรา ทั้งๆ ที่ มาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เขียนแค่เรื่อง 8 ปี แต่เขียนยาวกว่านั้นมาก โดยระบุไว้ในมาตราดังกล่าวด้วยว่า “นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี”
ขณะที่มาตรา 159 เขียนว่า “ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิก ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรการเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร”
ขณะที่ ม.88 ระบุว่า “ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อบุคคล ซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เกิน 3 รายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง”
พิเคราะห์ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เกี่ยวข้องกับที่มานายกฯ ทั้ง 3 มาตราคือ 158 159 และ 88 ชัดเจนว่าการเป็นนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์สมัยแรกไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามคุณสมบัติของทั้ง 3 มาตราเลย
มาตรา 158 บอกคนเป็นนายกฯต้องให้สภาเห็นชอบประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นคนรับสนอง กรณีพล.อ.ประยุทธ์ในมัยแรกนั้น สนช.เสนอ พรเพชร ประธานสนช.เป็นคนรับสนอง
มาตรา 159 บอกว่าต้องเป็นชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ และ มาตรา 88บอกว่าต้องเป็น 1 ใน 3 รายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอต่อกกต.
ครั้งแรกพล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าคสช. ไม่ใช่ชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้หรือเป็น 1 ใน 3 ชื่อที่พรรคการเมืองเสนอไปยังกกต. เพราะฉะนั้น การเป็นนายกฯสมัยแรกของพล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่ได้มาตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 เลย เพราะฉะนั้น การเอาข้ออ้าง 8 ปี แค่เสี้ยวหนึ่งใน มาตรา 158 มาใช้เพื่อสะกัดกั้นพล.อ.ประยุทธ์จึงไม่น่าจะถูกต้อง
ดังนั้น หากถ้านับตั้งแต่เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560เมื่อ 9 มิ.ย. 2562 จะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯมาแล้ว 4 ปี ยังสามารถเป็นนายกฯได้อีก 4 ปี
อันที่จริง ถ้าประชาชนไม่สนับสนุน เลือกตั้งคราวหน้า ใครก็คงไม่สามารถจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ตามวิถีทางการเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะขืนเป็นไปก็ต้องโดนคว่ำกลางสภาแบบจอดไม่ต้องแจว
เว้นแต่ฝ่ายค้านกลัวว่า ผลงานรัฐบาลจะเริ่มปรากฏสู่การรับรู้ของประชาชน เลยต้องออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ขับไล่มันให้พ้นไปเตะสกัดมันไว้เสียก่อน อย่างนั้นหรือไม่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี