สำหรับคนที่ติดตามเรื่องสังคมไทยเป็นสังคมที่มีการออมเงินต่ำ คงทราบถึงปัญหาการไม่นิยมออมเงินในหมู่คนไทยบางจำพวกมานานแล้ว แล้วก็คงรู้ด้วยว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีหนี้สินรุงรังล้นพ้นตัว เรียกว่าหนี้ท่วมหัวท่วมหู บางคนมีหนี้สินตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ส่วนคนในวัยทำงานจำนวนไม่น้อยก็มีหนี้สินล้นพ้นตัวเช่นกัน เพราะนิยมบริโภคมากกว่านิยมออมเงิน
มีคำถามว่าทำไมสังคมไทยจึงมีคนที่ไม่นิยมการออมเป็นจำนวนมาก คำตอบเรื่องนี้อาจจะต้องลงไปดูถึงปัจจัยต่างๆ เช่น บางครอบครัวไม่ส่งเสริมการออม เพราะเน้นการใช้จ่ายเกินตัวมาโดยตลอด นิยมการสร้างหนี้สิน บางครอบครัวบอกว่าการมีหนี้สินเป็นเรื่องที่ดี เพราะการที่เรามีหนี้ก็หมายถึงเรามีความน่าเชื่อถือ คนเขาจึงให้เรากู้ยืมเงิน แต่บางครอบครัวก็ไม่ต้องการจะมีหนี้มีสิน แต่จำเป็นต้องก่อหนี้ เพราะแรงบังคับหลายประการ เช่น คนในครอบครัวป่วยหนักต้องการเงินไปรักษา มิฉะนั้นก็จะต้องเสียชีวิต หรือบางครอบครัวจำเป็นต้องกู้เงินสร้างหนี้เพื่อการลงทุนประกอบอาชีพ ดังนั้นปัจจัยการก่อหนี้ของแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวจึงต่างกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเรามีหนี้มีสินมากๆ ก็เพราะนิสัยไม่รู้จักออม และนิสัยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินตัว ใช้เงินโดยไม่คิดคำนึงให้ดีว่าจำเป็นต้องซื้อต้องหาสิ่งของนั้นๆ หรือไม่ หรือบางคนไม่สามารถหักห้ามใจได้ ดังนั้น เมื่อพบแรงกระตุ้นใดๆ ให้ต้องจับจ่าย ก็จับจ่ายราวกับคนไร้สติ โดยไม่ดูว่าสินค้าที่ซื้อหามานั้นจำเป็นกับชีวิตมากน้อยเพียงใด บางคนจึงมีแต่หนี้ท่วมหัวพร้อมกับข้าวของที่ไม่ต่างจากขยะเต็มบ้าน
มีข้อน่าสังเกตอีกประการคือ ธนาคารหลายแห่งไม่นิยมให้คนออมเงิน เพราะจะเห็นว่าธนาคารหลายแห่งมักกระตุ้นให้คนกู้เงินมากกว่าออมเงิน โดยเฉพาะธนาคารที่ออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเงินสดต่างๆ ก็มักจะกระตุ้นให้คนถือบัตรจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการมากกว่าอดออม ดังจะเห็นว่ามีโครงการรูดบัตรก่อนแล้วผ่อนชำระภายหลัง บางแห่งก็รบเร้าให้คนดึงเงินจากบัตรเครดิตออกไปใช้ก่อน โดยมีข้ออ้างจูงใจว่าดอกเบี้ยต่ำ ทั้งๆ ที่ดอกเบี้ยเงินกู้ที่นำเงินจากบัตรเครดิตไปใช้นั้นไม่ถูกเลย คิดๆ แล้วก็เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์
มีคำถามว่าธนาคารต้องการให้คนเป็นหนี้ธนาคารมากๆ เพราะธนาคารจะได้ผลประโยชน์ต่างๆจากผู้กู้ เช่น ได้ดอกเบี้ยเป็นอันดับแรก แล้วตามมาด้วยได้สินทรัพย์ที่ผู้กู้นำไปค้ำประกัน ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ตามกำหนดระยะเวลาได้ ใช่หรือไม่
เราจึงเห็นเป็นประจำว่าธนาคารมักจะรบเร้า เร่งรัดให้คนเป็นหนี้มากกว่าเน้นให้คนออมเงิน แต่ก็ต้องเข้าใจว่า การปล่อยกู้ให้กับใครก็ตาม ธนาคารมักจะคิดคำนวณแล้วว่าธนาคารจะได้ผลดี ได้กำไรมากกว่าขาดทุน ยกเว้นการปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหญ่ระดับประเทศ แล้วสุดท้ายลูกค้ารายนั้นก็บอกแบบง่ายๆ ว่า ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย หรือลูกค้าใหญ่บางรายไม่พูดเช่นนั้น แต่ก็บอกกับธนาคารว่ายังไม่จ่าย แต่หากจะให้จ่ายก็ต้องให้กู้เพิ่ม เพราะจะนำเงินไปลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
นี่คือความแตกต่างระหว่างลูกหนี้รายใหญ่มหึมาของธนาคาร กับลูกหนี้รายย่อยจำพวกปลาซิวปลายสร้อย เพราะลูกหนี้รายใหญ่ของธนาคารสามารถต่อรองกับธนาคารได้มากกว่าลูกค้ารายย่อย
ย้อนกลับไปที่ประเด็นเรื่อง ทำไมธนาคารไม่ส่งเสริมให้ลูกค้าออมเงิน ทำไมเน้นให้ใช้บัตรเครดิตมากๆ ทำไมเน้นให้กู้เงินมากๆ เรื่องนี้ก็ตอบได้ชัดๆ คือเพราะธนาคารได้
ผลประโยชน์จากการปล่อยกู้มากกว่าการให้บริการฝากเงิน ทั้งๆ ที่ธนาคารให้ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ แล้วธนาคารยังนำเงินฝากไปหมุนในวงจรธุรกิจได้อีกหลายสิบรอบ ซึ่งก็ทำให้ธนาคารได้ผลกำไรจากการหมุนของเงินตามวงรอบต่างๆ จำนวนมหาศาล
คนไทยส่วนหนึ่งอ้างว่าจน จึงไม่ออมทรัพย์ แต่คำอ้างดังกล่าวก็เป็นเพียงคำอ้าง เพราะอันที่จริงคนจนก็สามารถออมได้ หากคิดก่อนใช้เงินทุกครั้งว่า จำเป็นต้องใช้หรือไม่ และหากคิดก่อนใช้เงินทุกครั้งด้วยว่า ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไรก็ตามก็ต้องออมให้ได้อย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ได้มา หากคิดได้แบบนี้ คนทุกคนก็จะมีเงินออม แต่หากอ้างว่าเงินไม่พอใจ ไม่สามารถออมได้ ก็จะไม่มีวันมีเงินออมตลอดชีวิตนี้เพราะฉะนั้น ต้องสร้างนิสัยการออมให้ได้ และต้องออมให้ได้อย่างจริงๆ จังๆ เพื่ออนาคตที่ดีของเราเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี