หลังจากที่พลเอกประยุทธ์ได้ฝ่ามรสุมทางการเมืองมาอย่างมากมาย ทั้งเรื่องงบประมาณฯ รวมถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลายคนก็น่าจะเริ่มเห็นศักยภาพในการคุมสภาและพรรคร่วมฯของพลเอกประยุทธ์แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรพลเอกประยุทธ์ ก็น่าจะสามารถประคับประคองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงปลายทางอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ ซึ่งปลายทางที่พลเอกประยุทธ์ตั้งใจไว้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นสถานีใดกันแน่ จะเป็นการอยู่จนครบวาระของรัฐบาลฯ? หรือจะแค่ประคับประคองจนถึงการเข้าร่วมประชุมเอเปกจบเท่านั้น
ยังมีบทพิสูจน์เรื่องนายกฯ 8 ปี คอยตามมากวนใจเพราะไม่ว่ากระบวนการทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้จะสามารถยกเอามาเป็นเหตุในการปลุกระดมมวลชนของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในการออกมาเพื่อกดดันคำตัดสินของศาลหรือไม่?
ล่าสุดเมื่อวานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของฝ่ายค้านที่ยื่นประเด็นเรื่อง 8 ปี ไว้ในการพิจารณาโดยระหว่างนี้ศาลได้มีคำสั่งให้พลเอกประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน โดยผู้ที่จะรักษาการนายกรัฐมนตรีในช่วงนี้ก็คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ ก็เคยมีการพูดถึงมาแล้วบางส่วนจากความเห็นของรองนายกฯ วิษณุ ก่อนหน้านี้
เรื่องประเด็นนายกฯ 8 ปี ที่เป็นกระแสกันอยู่ในช่วงนี้ ทราบกันดีว่าได้ส่งผลต่อพลเอกประยุทธ์โดยตรง แต่หากว่ากันตามตรงก็ไม่ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อพลเอกประยุทธ์เพียงเท่านั้น เพราะผลกระทบที่ตามมาก็น่าจะส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ที่ประชาชนมีต่อพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดด้วย และเชื่อว่าอาจจะถูกนำมาเป็นประเด็นหลักในทางการเมืองตอนหาเสียงเลือกตั้งด้วย
ที่น่าจะต้องลุ้นหนักที่สุดเห็นทีน่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐหนึ่งในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ที่ในตอนนี้ก็น่าจะมีโจทย์ที่ต้องแก้กันให้วุ่น เพราะนอกจากเรื่องของคะแนนนิยมที่ถูกสื่อหลายสำนักตั้งคำถามว่า เป็นขาลงแล้วหรือไม่? ยังต้องเผชิญกับเหตุการณ์นายกฯ 8 ปี ที่ดูจะเขย่าทั้งเก้าอี้พลเอกประยุทธ์ ในขณะเดียวกันยังเขย่าภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย แต่จะเป็นการเขย่าเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือลากยาวไปจนถึงช่วงเลือกตั้ง ก็ขึ้นกับการแก้สถานการณ์ของพลเอกประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรค ไม่ว่าผลของศาลจะออกมาอย่างไรก็ตาม
คงต้องรอดูต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้โชคร้ายเสียทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงปัจจัยพื้นฐานจากคะแนนเสียงในสภาตอนนี้ยังมีอำนาจในการกำหนดเกมในสภา โดยเฉพาะการกุมอำนาจประเด็นในการออกฎหมายเลือกตั้ง ที่กลายเป็นเกมระหว่างพรรคใหญ่และพรรคเล็ก ไม่ใช่ฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล?
ก็ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีที่ตั้งใจ หรือสิ่งที่หวังไว้เป็นจริงโดยบังเอิญกันแน่เพราะ จากการที่สูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อที่พลิกผันไป ปลิวไสวตามแรงลม สุดท้ายหาร 500 ก็ไม่น่าได้เกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่าหาร 100 ที่น่าจะเข้ามาแทนที่ ซึ่งก็คงทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่บางพรรคยิ้มได้ เพราะในท้ายที่สุดก็จะได้มาซึ่งกติกาที่เข้าทางและน่าจะส่งผลให้พรรคการเมืองบางพรรคได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่?
ก็ต้องยอมรับว่าจากที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทยมีการเดินเกมในสภาฯ ที่ถูกมองว่าคล้ายคลึงกันในเรื่องนี้ ก็พากันให้สื่อ ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุการณ์หักอกพรรคกลาง พรรคเล็กกลางสภาฯ อาจเป็นการจับมือข้ามรั้วระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐเฉพาะกิจหรือไม่? เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์การจับมือกันของทั้งสองพรรคนี้มาในประเด็นกติกาเลือกตั้งอีกเหมือนกัน ทั้งเรื่องของบัตรเลือกตั้งสองใบ ที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว รวมถึงเรื่องของสูตรการคำนวณบัญชีรายชื่อที่เป็นกรณีล่าสุดอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ จะมีจุดมุ่งหมายไปในทิศทางเดียวกัน ในเรื่องกติกาการเลือกตั้งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองทั้งสองพรรคจะจับมือกันไปตลอดจนถึงเส้นชัย อย่างที่หลายคนพยายามจะจับประเด็น อาจจะพลาดเป้าได้
เอาเข้าจริงในมุมของพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ ด้วยสถานการณ์แวดล้อมที่เป็นอยู่ ก็น่าจะพอทำให้มั่นอกมั่นใจในระดับหนึ่งว่า สามารถมีชัยเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ไม่ยาก ทั้งด้วยกติกาที่ดูแล้วเป็นต่อ รวมถึงคู่แข่งตัวฉกาจทั้งฝั่งตรงข้ามและแม้กระทั่งฝั่งเดียวกันเอง ก็ดูจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมขนาดนั้น รวมถึงประสบการณ์ในการลงสนามเขตของเพื่อไทย แต่เอาเข้าจริงแม้พรรคเพื่อไทย จะมีความพร้อมมากเพียงใด แต่เดิมพันของเพื่อไทยก็วางไว้สูงกว่ามาก นั่นคือแลนด์สไลด์
แม้จะสามารถกุมความได้เปรียบไว้ในมือได้ในระดับหนึ่ง จนดูว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะเป็นพรรคที่ไร้เทียมทาน แต่ในความเป็นจริง ชัยชนะที่เพื่อไทยต้องการมากกว่าการมีคะแนนเป็นที่หนึ่งแต่ต้องเป็นที่หนึ่งที่สูงมากๆ การเดินทางสู่จุดนั้นได้จึงต้องอุดจุดอ่อนที่มีทั้งหมด และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในสถานการณ์ตอนนี้นอกจากนี้ยังมาเผชิญภาวะของปัญหาเลือดไหลออก ที่ในอนาคตอันใกล้ ก่อนการเลือกตั้งอาจเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พรรคเพื่อไทยต้องทำอะไรบางอย่างหรือไม่?
ประเด็นขัดแย้งในเพื่อไทยก็ใช่ว่าจะไม่มี และเลือดที่ไหลออกก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่พรรคตรงข้ามเพียงอย่างเดียว ยังมีทางเลือกพรรคตรงกลางหรือพรรคที่อยู่ฝั่งเดียวกันด้วยซ้ำหรือไม่?
อย่างในการประชุมสภาวันที่ 15 สิงหาคม ที่เป็นวันเดดไลน์ ในการหาข้อสรุปของสูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ สมาชิกพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังคงแสดงจุดยืนของพรรคอย่างชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกันซะเป็นส่วนใหญ่
ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีการกระทำในรูปแบบเดียวกันและไม่แตกแถว แต่คำถามคือส่วนน้อยที่เข้าร่วมประชุมสภาและแสดงตนในการประชุมนั้น เพราะเหตุใดจึงมีการเดินเกมที่ไม่สอดคล้องกับพรรค? หรือพรรคเพื่อไทยปล่อยเสรีโหวตจริงๆ?
อย่างไรก็ตามพบว่ามีการปรากฏชื่อของ นายการุณโหสกุล สส.ดอนเมือง สังกัดพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมประชุมด้วย ก็ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่ามีนัยอะไรซ่อนอยู่หรือไม่? เพราะนายการุณก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่พักหลังถูกมองว่าห่างเหินกับต้นสังกัด หรือต้นสังกัดห่างเหินกับนายการุณหรือไม่?
ตั้งแต่ที่พรรคเพื่อไทย เปิดตัว 21 ว่าที่ผู้สมัคร สส. กรุงเทพฯ ของพรรค ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นว่าที่ผู้สมัครฯ หน้าเดิมทั้งสิ้น ยกเว้นในรายของเขตที่นายการุณรับผิดชอบอยู่ พร้อมทั้งกระแสข่าวที่ว่านายการุณ เตรียมย้ายสังกัดพรรค ซึ่งพรรคที่ถูกจับตามองว่าอาจเป็นสถานีต่อไปอาจเป็นพรรค ไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่ก็ยังไม่มีการฟันธง
ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย ถือว่าเป็นพรรคใหม่การเลือกตั้งครั้งหน้าคะแนนอาจจะยังคาดเดาไม่ได้ สูตรการคำนวณแบบหาร 500 อาจเป็นประโยชน์ต่อพรรคน้องใหม่อย่าง พรรคไทยสร้างไทยมากกว่า
กทม. ถือว่าเป็นพื้นที่ช่วงชิงและพื้นที่ที่มีโอกาสอย่างมากของเพื่อไทยในครั้งหน้า เพราะการที่มีผู้ว่าฯ กทม.ที่ชื่อว่า ชัชชาติก็เป็นทั้งตัวสะท้อนความนิยมของเพื่อไทยกรายๆ แม้จะไม่ได้บอกว่าลงในนามพรรคเพื่อไทยก็ตาม รวมถึงยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดคะแนนนิยม หากผู้ว่าอิสระคนนี้ และสก.เพื่อไทยสร้างผลงานได้ดีก่อนเลือกตั้ง
แต่ภาวะอึมครึมในเพื่อไทย อาจไม่ได้มีแค่ กทม.
ยังไม่เพียงแค่นั้น สส. พรรคเพื่อไทยอีกจำนวนหนึ่ง ที่สถานะในตอนนี้ดูเหมือนจะมีข่าวว่าบางส่วนอยู่ในนักการเมืองที่ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมหรือไม่? ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้น ลองไปหาคำตอบกันดู ส่วนปลายทางก็คงเดาได้ไม่ยาก เพราะมีเพียงไม่กี่พรรคที่มีแรงดึงดูดมากเพียงพอที่จะสามารถ โน้มน้าวให้ สส. จากสังกัดพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง เข้าร่วมสังกัดได้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่แม้จะไม่ใช่ปัญหา แต่การก้าวขึ้นมาของนางสาวแพทองธาร ลูกสาวอดีตนายกทักษิณ พ่อใหญ่เพื่อไทย ที่ดูแล้วตั้งใจจะหวังดึงดูดคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ จากพรรคก้าวไกลหรือพรรคใดก็ตาม แต่ดูแล้วก็ยังถูกมองว่ายังไปไม่สุดเหมือนมีอะไรกั๊กๆ หรือไม่ เพราะนอกจากภารกิจสร้างคะแนนเสียงดูจะยังไม่ถึงฝันแบบที่คาดแล้ว ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับหัวหน้าพรรคก้าวไกล อย่างนายพิธา ในเรื่องของบทบาทและอิทธิพลต่อการเมืองไทยด้วย เพราะสถานะที่ครึ่งๆ กลางๆระหว่างหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย?
แม้ตอนนี้หากวัดในเรื่องของความได้เปรียบทางการเมืองพรรคเพื่อไทย จะดูเป็นต่อพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ทั้งในเรื่องของภาพลักษณ์ คะแนนความนิยมรวมถึงกติกาและสูตรการคำนวณที่เข้าทางพรรคเพื่อไทยจึงไม่น่าที่จะปล่อยให้ความได้เปรียบนี้หลุดมือไปเป็นแน่ แม้ในตอนนี้เพื่อไทยจะดูเป็นต่อหลายด้าน แต่อย่างไรก็ตามก็อาจจะถูกมองว่าใช้บุญเก่าจากอดีตนายกทักษิณหรือไม่?
แม้พรรคเพื่อไทย ที่ในตอนนี้ดูจะแข็งแกร่งที่สุด มีจุดเด่นอย่างมากในเรื่องเขตเลือกตั้ง และเรื่องนโยบาย ที่ทำให้ปัจจัยพรรคที่มีต่อประชาชนเข้มแข็งแต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังดูเหมือนยังขัดสายตาหรือไปไม่สุด นั่นคือภาพของผู้นำที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจุดนี้เองอาจเป็นจุดสำคัญที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจของบรรดานักเลือกตั้งในพรรค ทั้งเรื่องปัญหาเลือดไหลออกที่ก็ไม่อาจการันตีได้ว่า จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งในระหว่างที่เพื่อไทยต้องเดินเกมปรับจุดอ่อนให้ลดเหลือน้อยที่สุด พรรคเพื่อไทยก็จำเป็นที่จะต้องเดินเกมทางการเมืองควบคู่ไปด้วย จึงไม่แปลกที่อาจยังไม่เห็นบทบาทและความดุเดือดในสภาฯ ตอนนี้ของเพื่อไทยหากเทียบกับก้าวไกล
หากกฎและกติกาที่ได้มา เข้าทางแต่ภายในของพรรคไม่มีความพร้อม ก็อาจจะยังไม่ไปถึงฝั่งฝัน แต่หากสามารถจัดการแต่กับปัจจัยภายในพรรคได้แต่กฎหรือกติกาไม่เข้าทางตนก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ด้วยความซับซ้อนที่ทุกอย่างล้วนมีผลเชื่อมโยงซึ่งกันและกันไปหมด ครั้นจะสู้แบบให้คู่แข่งเสียที เสียท่าหมดก็ไม่ได้ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อกติกาการเลือกตั้งที่ยังไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพลเอกประยุทธ์เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าผลที่ตามมานั้น จะไม่ส่งผลไปถึงความได้เปรียบที่สร้างมา ให้กลายเป็นความได้เปรียบที่สูญเปล่าหรือไม่? ซึ่งในจุดนี้พรรคเพื่อไทยเองก็คงทราบดี
แต่ครั้นจะไม่สู้เลยก็คงไม่ใช่การกระทำที่ควรนัก เพราะประชาชน ที่เป็นแม่ยกพวงมาลัยสีแดง ก็ต่างรอดูผลงานอยู่ ซึ่งในเรื่องนี้เองแฟนคลับหัวใจสีแดงบางส่วนก็เริ่มตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องการยื่นเรื่องนายกฯ 8 ปี ว่าเพราะเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงมีการตื่นตัวในเรื่องของปมนายกฯ 8 ปี เป็นเวลาที่ควรจะเป็นหรือช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่? เพราะกว่าจะยื่นหนังสือในเรื่องประเด็นดังกล่าวก็ปาเข้าไปช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งตามกระบวนการแล้วก็ไม่น่าจะทันช่วงเส้นตายที่ขีดไว้อย่างแน่นอน
ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ภายใต้ความยุ่งเหยิงนี้ พรรคเพื่อไทยจะสามารถช่วงชิงโอกาสมาเป็นประโยชน์ทางการเมืองต่อตนเองได้มากกว่าพรรคร่วมอื่นหรือไม่?
“ที่ความแค้นริษยานำพามาได้ มีแต่ทุกข์ทรมาน พินาศย่อยยับเท่านั้น
ดังนั้น ท่านโปรดละทิ้ง ลืมเลือนความแค้นและริษยา มาให้ความรักที่บริสุทธิ์จริงใจต่อกัน
ซึ่งย่อมนำพาความสุขแก่ท่านชั่วนิจนิรันดร์”
โกวเล้ง จาก ราศีดอกท้อ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี