ด้วยเหตุจากการที่พลเอกประยุทธ์ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จากการที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทำให้สภาวะปัจจุบันพลเอกประวิตร จึงทำหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องนี้เอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก ว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนลำดับรักษาการนายกรัฐมนตรี จากลำดับรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 นั่นคือ พลเอกประวิตร
ดูผิวเผินจะเป็นแค่การทำหน้าที่รักษาราชการนายกรัฐมนตรีในขณะที่พลเอกประยุทธ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนมีบางฝ่ายอาจคิดว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์กำลังเริ่มเข้าสู่สภาวะสุ่มเสี่ยง แต่ก็ใช่ว่าจะเปราะบางเพียงนั้น นอกจากนี้ยังกลายเป็นโอกาสในระยะเวลาที่อาจจะสั้นๆ แต่ก็ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองแม้แต่ในมุ้งพปชร.เอง?
แม้ พลเอกประวิตร จะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถและมีชั้นเชิงในการเดินเกมที่เป็นเอกลักษณ์และบารมีมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยวัยของพลเอกประวิตรที่มีมากไม่แพ้บารมีที่มีอยู่ จึงอาจทำให้ที่ผ่านมาพลเอกประวิตรมักจะถูกตั้งข้อสงสัยจากสื่อมวลชนบางสำนัก รวมถึงประชาชนบางกลุ่ม ถึงเรื่องศักยภาพ และมักจะโดนตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งว่าวัยของพลเอกประวิตรมากเกินกว่าที่จะบริหารบ้านเมืองหรือไม่?
แต่ในความเป็นจริงหลายท่านก็คงทราบว่าหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ข้างกายพลเอกประยุทธ์มาตลอดก็คือพลเอกประวิตร ซึ่งแม้จะทำงานอย่างแข็งขันอยู่หลังบ้านก็จริง แต่บารมีของพลเอกประวิตรก็มักจะช่วยให้พลเอกประยุทธ์สามารถเดินทางในสายการเมืองได้อย่างไม่ลำบาก แม้จะมีข่าวถึงรอยร้ายรอยร้าวบ้าง แต่ทุกครั้งที่เกิดกระแสข่าวความขัดแย้งขึ้น จะจบลงด้วยแบบเดิมก็คือจับมือกันลงตัวทุกครั้งไป?
และเอาเข้าจริงที่ผ่านมาก็คงทราบว่าการเดินเกมทางการเมืองที่สำคัญในสภาฯยุคของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นั้น มักมีพลเอกประวิตรเป็นส่วนสำคัญทั้งสิ้น อย่างในกรณีของร้อยเอกธรรมนัสที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งมีท่าทีร้อนแรง หรือกระแสข่าวต่อรองตำแหน่งทางการเมือง แต่สุดท้ายก็ลดดีกรีลง และเมื่อมีการพาดหัวข่าวเป็นว่าเล่นถึงเกมล้มเก้าอี้นายกฯ ซึ่งร้อยเอกธรรมนัสก็ไม่วายมักถูกเป็นข่าวจับมาเชื่อมโยงอยู่เสมอ ทั้งตอนสังกัดอยู่พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคเศรษฐกิจไทย และว่ากันตามตรงในพรรคเศรษฐกิจไทยก็มีจำนวน สส.ที่มากพอที่จะต่อรองตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีได้ เช่นเดียวกับมุ้งต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐที่ก็มีอะไรแบบนี้ออกมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็สามารถลดดีกรีความร้อนแรงหรือทำให้ข่าวที่ออกมากลายเป็นข่าวไม่มีมูลไปทันที? ทั้งหมดนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า จะเกี่ยวข้องกับบารมีของพลเอกประวิตรหรือไม่?
การที่พลเอกประวิตรได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในการบริหารงานบ้านเมืองอย่างเต็มตัวในครั้งนี้ นอกจากจะถือว่าเป็นการลบคำสบประมาท และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชน ว่าตนเองมีศักยภาพ พร้อมด้วยบารมีที่มากเพียงพอ แล้วก็อาจเป็นอีกหนึ่งในโอกาสสำคัญที่จะพลเอกประวิตรจะสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนกระดานการเมืองในบางมุมที่พลเอกประยุทธ์ไม่อาจทำได้ ก็ได้
อย่างเรื่องง่ายๆ ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นประเด็น ทั้งที่ไม่มีอะไรมากจากประเด็นช่วยกทม.แก้ปัญหาน้ำท่วม ที่เป็นเรื่องปกติที่จะมีการประสานช่วยเหลือข้ามหน่วยงาน แต่กลับมีความพยายามในการนำเสนอประเด็นไปในทำนอง พลเอกประวิตรได้รับตำแหน่งนายกฯรักษาการไม่ทันไร ก็ได้ปรากฏข่าวว่าพลเอกประวิตรต่อสายตรงถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือและสอบถามถึงการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะมองด้วยมุมใด ก็ทำให้เห็นได้ว่าภาพลักษณ์และความเชื่อที่ประชาชนหรือสื่อที่มีต่อพลเอกประวิตร สามารถเปลี่ยนเกมหรือเปลี่ยนมุมทางการเมืองได้ยืดหยุ่นกว่าพลเอกประยุทธ์ อย่างนั้นหรือ? และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ยิ่งไปตอกย้ำความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับขั้วทางการเมือง
นอกจากนี้ยังเสริมพลังด้วยจังหวะเวลาด้วย ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเรื่องแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญที่ค้างคาอยู่และไม่อาจรอเวลาต่อ จึงทำให้ต้องมีการแก้คำสั่งสำนักนายกฯเพื่อให้นายกฯรักษาการสามารถมีอำนาจในเรื่องแต่งตั้งโยกย้าย และก็พ่วงเรื่องงบประมาณมาด้วยเสียเลยในคราวเดียว เมื่อมติครม.ล่าสุด ด้วยการแก้คำสั่งสำนักนายกฯนี้เองจึงทำให้พลเอกประวิตรมีอำนาจมากขึ้นไปอีกกว่ารักษาการนายกฯ ในอดีต เช่นเดียวกับข่าวการเขย่าให้มีการปรับครม.ก็มาตอนนี้อีกเช่นกัน
ด้วยปัจจัยทางกฎหมายที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวที่ต้องรอเวลา กลับกลายเป็น ปัจจัยโอกาสทางการเมืองแบบไม่คาดคิด ที่ไม่ได้เกิดเฉพาะกับพลเอกประวิตร แต่เกิดกับพรรคพลังประชารัฐด้วย
อย่างไรก็ตามภายใต้โอกาสในการกอบกู้สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องแบกรับอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อพลเอกประวิตรก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำ แม้จะเป็นเพียงรักษาการเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม แต่ก็ไม่อาจเลี่ยง ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับพลเอกประยุทธ์ ทั้งในส่วนงานที่พลเอกประยุทธ์ตัดสินใจไปแล้วรอเคาะหรืองานใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ เพราะเดือนสองเดือนนี้ มีความสำคัญทั้งในมุมของปลายปีงบประมาณและการแต่งตั้งโยกย้ายตามรอบปี เพราะแม้จะรักใคร่กลมเกลียวกันมากเพียงใด แต่ปัจจัยทางการเมืองก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของทั้งสองเพียงเท่านั้น
และหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ก็คือความเคลื่อนไหวภายในของพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะมีท่าทีกับกระแสดังกล่าวในเชิงใด? เพราะข่าวการเขย่าปรับครม.ในโควตาเก้าอี้พลังประชารัฐก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดการเขย่าในตอนนี้ และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หากกระแสของพลเอกประวิตรดีกว่าที่คาด จะส่งผลต่อการจัดแถวใหม่ของพรรคพลังประชารัฐและพรรคแนวร่วมอื่นที่พึ่งจัดตั้งตอนนี้หรือไม่?
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ที่ผู้นำพรรคพลังประชารัฐและหัวโต๊ะที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นคนคนเดียวกัน ส่งผลให้พลเอกประวิตรมีอำนาจในการตัดสินใจที่เต็มตัวมากขึ้น ทั้งในแง่ของผู้นำพรรค และผู้นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าในบทบาทของผู้นำคณะรัฐมนตรีนั้น พลเอกประวิตรจะมีการเดินเกมไปในทิศทางใดต่อ จะมากกว่าการทำหน้าที่รักษาการแทนน้องหรือไม่?
แม้ในช่วงเวลานี้ที่เวลาของรัฐบาลกำลังเข้าสู่ช่วงนับถอยหลังอย่างเต็มรูปแบบ แต่ในเมื่อเส้นทางสายนี้ยังไม่ถึงจุดหมาย การขยับที่มากเกินไป อาจส่งผลกระทบตามมาภายหลัง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภายใน 3 ป. จึงไม่แปลกหากจะเห็นบทบาทของพลเอกประยุทธ์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมากขึ้น อาจจะฟังดูแปลก แต่มีผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ของ 3ป.ในระยะต่อไป?
แต่ในระยะนี้ต้องยอมรับว่า การขึ้นมาของพลเอกประวิตรเป็นประโยชน์โดยตรงต่อพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อการเลือกตั้งนั้นใกล้เข้ามาอย่างกระชั้นชิด ประกอบกับการที่พลเอกประวิตร ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีแทนพลเอกประยุทธ์อยู่นั้น ยิ่งส่งผลให้บารมีของพลเอกประวิตรที่แต่เดิมมากล้นอยู่แล้ว กลับยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็อาจส่งผลให้บรรดานักการเมืองทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นทั้งภายในพรรค หรือแม้กระทั่งภายนอกสังกัดพรรคทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายตรงข้าม ดึงดูดให้ต้องเข้ามามากขึ้นเช่นเดียวกับที่ไปที่พรรคภูมิใจไทยก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะภายในสังกัดพรรคพลังประชารัฐเอง ที่ในตอนนี้ก็เริ่มน่าจะมีการจัดกระบวนทัพ เตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง และจากการที่พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่รวมตัวนักการเมืองจากหลายสารทิศเข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การแข่งขันภายในของพรรคย่อมสูงตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของผู้สมัครในแต่ละท้องที่นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พลเอกประวิตร ในฐานะหัวเรือใหญ่พรรคพลังประชารัฐ จำเป็นต้องจัดสรรปันส่วนให้ลงตัว หลังจากนี้ ประตู ณ บ้านป่ารอยต่อย่อมไม่ว่างเว้นอย่างแน่นอน ในขณะที่อีกพรรคอาจเจอกับสภาพปัญหาที่แตกต่าง
แม้เป้าหมายแลนด์สไลด์ยังจะเป็นความประสงค์สูงสุดของพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยจึงเร่งกระบวนการหาเสียงโดยจะเริ่มมีการทยอยเปิดตัวผู้สมัครในพื้นที่ต่างๆ ล่วงหน้ากว่าพรรคอื่น เพราะหลังจากมีการเปิดตัวผู้สมัครในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ไปแล้ว ล่าสุดนี้พรรคเพื่อไทยก็ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครจากภาคกลางไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องดีต่อพรรคเพื่อไทย ที่มีการตัดสินใจ ก้าวเดิน นำหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างไม่รีรอ และอย่างน้อยก็เป็นแต้มต่อป้องกันผู้สมัครที่หมายมั่นไว้จะย้ายพรรค
แต่ในแง่ความชัดเจนของผู้นำกลับสวนทาง เพราะในตอนนี้ก็ยังไม่อาจทราบได้เลยว่า ระหว่างหมอชลน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนางสาวแพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้มีโอกาสได้เสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหรือจะเป็นทั้งสองคนก็มีประเด็นต่อว่าแล้วอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญในพรรค หรืออะไรก็ตามที่คนในพรรคต้องพึ่งพาอาศัยจะเข้าหาใครดี? ในเรื่องนี้เองก็ไม่อาจทราบได้ว่า คนเพื่อไทย แท้จริงแล้วคิดเห็นอย่างไรกันแน่?
อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยแม้จะเตรียมตัวแล้ว แต่งองค์ทรงเครื่องจนดูน่าจะมีความพร้อมแล้ว แต่อย่าลืมว่ามีอีกประเด็นที่ค้ำคอคาอยู่ นั่นคือกฎหมายลูกเลือกตั้ง ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญอีกหนึ่งดอกที่จะทำให้เพื่อไทยเข้าวินแบบแลนด์สไลด์หรือไม่ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุใดต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์แบบไม่คาดฝันอาจส่งผลต่อกติกาการเลือกตั้งทันที เรื่องนี้จึงทำให้เพื่อไทยยังขยับอะไรลำบากในสภา
นอกจากนี้จากที่รองฯวิษณุได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า แม้สุดท้ายศาลตัดสินว่าพลเอกประยุทธ์ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากปมนายกฯ 8 ปี ในวันนั้นพลเอกประยุทธ์ก็ยังรักษาการนายกรัฐมนตรีได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง แล้วเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือพลเอกประยุทธ์ไม่ประสงค์จะรักษาการก็จะมีคนอื่นมารักษาการต่อ
ในทางกลับกัน การที่มีนายกฯรักษาการไม่ว่าใคร ก็ไม่ได้จะส่งผลให้การเลือกตั้งนั้นเกิดเร็วขึ้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีนายกรัฐมนตรีรักษาการต่อไปได้อยู่จนครบวาระสภาแล้วจึงกำหนดให้มีการเลือกตั้งตามกฎหมาย
ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ยังสามารถเป็นรักษาการได้อยู่เว้นแต่ตัวของพลเอกประยุทธ์เองจะไม่ประสงค์ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะออกหน้าไหนก็คงขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเพียงหนึ่งเดียว
ส่วนคำถามที่ว่าศาลฯ นั้นจะชี้ขาดคำตัดสินเมื่อไหร่? แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมได้ทั้งสิ้น แม้จะมีขอบเขตเวลาหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ข้อสรุปโดยทันท่วงที จึงไม่อาจระบุวันเวลาที่แน่ชัดได้ แต่สิ่งนี่น่าสนใจคืออีกไม่นานจะมีการประชุมเอเปกเกิดขึ้น หากพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถกลับมาเข้าร่วมองคาพยพดังกล่าวได้ ก็อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ในด้านผู้นำของประเทศหรือไม่? และเชื่อว่าในวง 3 ป.เองก็น่าจะวางตัวน้องเล็กอย่างพลเอกประยุทธ์เป็นตัวแทนของประเทศในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวไว้แล้วหรือไม่? แต่พลเอกประยุทธ์จะเข้าร่วมการประชุมในวงการประชุมใดหรือในฐานะใดนั้น คงต้องรอติดตาม หรือพลเอกประวิตรจะเป็นผู้ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในที่สุดหรือไม่?
ใครเล่าจะหยั่งรู้
ที่ผ่านมาแม้จะมีกระแสข่าว 3 ป. แตกอย่างไม่ขาดสายทั้งเรื่องกระแสข่าวรอยร้าวระหว่างพลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์ที่มีมาตลอด แต่สุดท้ายเชื่อว่าด้วยความรักใคร่กลมเกลียวกันมาอย่างช้านานนั้น แม้อาจมีเรื่องที่อาจไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ก็คงไม่อาจทำให้ 3 ป. ในตอนนี้แตกหักในยามนี้หรือไม่?
ส่วนในมุมของพลเอกประวิตร ในฐานะพี่ใหญ่ 3 ป. และผู้นำทัพพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจอาศัยช่วงเวลานี้ ในการทำหน้าที่เป็นกาวใจ จัดการกับรอยร้าวภายในระหว่างพลเอกอนุพงษ์และลูกพรรคพลังประชารัฐบางท่าน ที่ปรากฏรอยร้าวจากศึกในสภาฯ ที่ผ่านมา รวมถึงรอยร้าวภายในของลูกพรรคเองด้วย เพราะในตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเคลียร์ใจภายใน จากบารมีลุงป้อมในตอนนี้ใหญ่คับสภาฯ รวมถึงตึกไทยคู่ฟ้าด้วยหรือไม่ ?
“ในโลกความจริง ไม่มีเรื่องโชคช่วยที่แท้จริง และต้องไม่มีเคราะห์ร้ายที่แท้จริงด้วยระยะของโชคและเคราะห์ ความจริงก็พิสดารอย่างยิ่ง
ดังนั้น หากท่านพบพานกับเรื่องเคราะห์ อย่าได้ตัดพ้อตำหนิ อย่าได้ท้อแท้เป็นอันขาด
แม้ท่านถูกเคราะห์จู่โจมจนล้มลงก็มิเป็นไร
เนื่องเพราะขอเพียงท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ต้องยังมีเวลาทรงกายขึ้นยืนได้”
โกวเล้ง จาก เดชขนนกยูง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี