ก้าวเข้าเดือนเก้า พร้อมกับก้าวของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ขยับแบบไม่อาจละสายตาได้ และเหตุผลของแต่ละพรรคที่ขยับนั้นอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป บ้างขยับเพราะเตรียมเลือกตั้ง แต่บ้างอาจขยับเพราะด้วยปมนายกฯ 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์ ที่ในตอนนี้ยังรอข้อสรุปจากศาลรัฐธรรมนูญ และต้องรอกันต่อไป จนกว่าศาลฯ จะออกมาชี้ขาดว่า ที่สุดแล้วปมนายกฯ 8 ปี จะออกมาในรูปแบบใดกันแน่ เพราะในวันนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการพิจารณาจะเป็นเพียงการนัดประชุม ยังไม่ใช่การแถลงผลตัดสินตามที่มีข่าวลือไปก่อนหน้า
ซึ่งดูแล้วพรรคพลังประชารัฐเอง ก็ดูจะเป็นพรรคที่อาจต้องลุ้นหนักที่สุดและผลกระทบย่อมเกิดแก่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะพลเอกประยุทธ์ถูกมองว่ามีทั้งแต้มต่อและจุดอ่อนในคนเดียว แต่ไม่ว่าพลเอกประยุทธ์จะหลุดจากตำแหน่งด้วยปมนายกฯ 8 ปี หรือไม่ก็ตาม พรรคพลังประชารัฐก็จำเป็นต้องมีการขยับอะไรบางอย่างเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง
แม้จะเป็นพรรคที่ถูกมองว่าปกครองโดยพี่น้อง 3 ป. เป็นหลักพ่วงด้วยตำแหน่งแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตามแต่ด้วยความที่พรรคพลังประชารัฐในสมัยแรกเป็นศูนย์รวมของนักการเมืองจากหลายแหล่งที่มา คนละฟากฝั่งการเมืองมาก่อนก็มี และก็ถือว่าเป็นพรรคที่ถูกมองว่ามีมุ้งการเมืองที่เป็นอิสระมากพรรคหนึ่ง และที่ผ่านมาเกือบสี่ปีก็ยังถูกมองว่ายังไม่สามารถหลอมรวมใจเป็นหนึ่ง รากฐานของพรรคยังไม่อาจหยั่งลึกลงหลักปักฐานทางความคิดของลูกพรรคได้
จากการที่พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่รวมตัวของนักการเมืองมืออาชีพจากหลากหลายที่มาเป็นหลักและที่ผ่านมา3ป. ที่ถูกมองว่าอยู่เหนือพรรคก็จริง และไม่มีใครกล้าที่จะขัด เมื่อมีปัญหาก็สามารถจัดการได้ทุกครั้ง แต่ระบบแบบบริหารตนเองแล้วแยกปกครองแม้จะจัดการปัญหาได้แต่ก็มิอาจทำให้แนวคิดของบรรดาลูกพรรคสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เวลาต่อรองเก้าอี้จึงเป็นการต่อรองแบบเป็นกลุ่มเป็นมุ้ง เวลามีปัญหาขัดแย้งจึงไปทั้งกลุ่มแบบที่เกิดขึ้นแล้วกับกลุ่มร้อยเอกธรรมนัส ซึ่งหากพรรคยังไม่ขยับจัดการใดๆก่อนการเลือกตั้งอาจจะเกิดการขยับเองจากภายในทีละมุ้งก็เป็นได้
ฟังดูอาจ งงๆ นิดๆ ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับปมนายกฯ 8 ปีที่พลเอกประยุทธ์กำลังเผชิญอยู่ แต่หากจะบอกว่า ประเด็นนายกฯ 8 ปี อาจทำให้การคงอยู่ของมุ้งต่างๆ ตลอดจนมีผลต่อการตัดสินใจอยู่ต่อหรือจากไปของกลุ่มต่างๆ จากการดูแลแบบพิเศษระยะสั้นๆในช่วงรักษาการแบบอำนาจเต็มของพลเอกประวิตรจะช่วยดึงสส.ที่ปกติเข้าทางพลเอกประยุทธ์ไม่ได้หรือไม่?
นอกจากนี้จากที่แต่ละพรรคเริ่มทยอยเปิดตัวผู้สมัครเพื่อปิดเกมย้ายพรรคของลูกพรรคตนเองแล้วนั้น หากพลเอกประยุทธ์จำต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยปมวาระนายกฯ 8 ปี หรือประเด็นนี้ต้องยืดเยื้อนานเท่าใด ก็ย่อมส่งผลต่อโอกาสในการประกาศผู้สมัครในแต่ละเขตของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มีโอกาสไม่น้อยที่นักการเมืองบางส่วนที่ยังลังเลอาจจะหลุดมือไปในช่วงนี้? โดยเฉพาะในรอบนี้ที่พรรคกลางๆอย่างพรรคภูมิใจไทยถือว่าเนื้อหอมมากที่สุดพรรคหนึ่งเมื่อเทียบกับทุกพรรคในรอบนี้และเทียบกับพรรคภูมิใจไทยในแต่ละครั้งก็ตามครั้งนี้อาจถูกมองว่าเนื้อหอมมากที่สุดหรือไม่?
ซึ่งบทพิสูจน์เรื่องนี้ อาจต้องรอจนกว่าศาลฯ จะมีคำชี้ขาด เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า ที่สุดแล้วผลของการวินิจฉัย จะออกมาในรูปแบบใดกันแน่? และหากออกมาในหน้าที่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ไปต่อจริงๆหรือไปต่อแบบไม่สุดทางเช่นเริ่มนับจากปี’60 ก็อาจจะมีความเคลื่อนไหว ของบรรดาลูกพรรคในรูปแบบใดแบบหนึ่งหรือไม่?หรือบารมีของพลเอกประวิตรจะสามารถรั้งนักการเมืองเหล่านั้น ให้อยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อได้หรือไม่? แต่ก็คงไม่ใช่งานง่ายโดยเฉพาะในยามที่การแข่งขันระหว่างพรรคนั้นสูงเกินกว่าที่จะคาดเดาผู้สมัคร
ในช่วงใกล้โค้งสุดท้ายนี้ ก็อาจกลายเป็นโอกาสที่สำคัญของพลเอกประวิตร ในการจัดการลูกพรรคแบบเต็มๆก็ได้ การลงพื้นที่เพื่อที่จะเข้าถึงและพูดคุยกับผู้สมัครทีละคนในฐานะทั้งหัวหน้าพรรคและรักษาการนายกฯอาจจะทำให้การเจรจาและ
ต่อรองบางอย่างง่ายกว่าเดิมก็ได้?
เพราะแม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคพลังประชารัฐ อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของพลเอกประวิตรเป็นหลักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสายตาประชาชนแล้ว ภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐกลับไปยึดโยงกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฯ อย่างพลเอกประยุทธ์เสียเป็นส่วนใหญ่หรือไม่? ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับส่งผลต่อการบริหารจัดการภายในพรรคพลังประชารัฐที่เหมือนไปไม่สุด ระหว่างสองอำนาจคืออำนาจนายกรัฐมนตรีจากป.หนึ่ง กับอำนาจหัวหน้าพรรคจากอีกป.หนึ่ง
ในสายตาคนทั่วไปอาจมองว่างานหลักของพลเอกประวิตรในยามนี้ น่าจะเป็นการประคับประคองสถานการณ์ ในยามที่
พลเอกประยุทธ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในยามชั่วคราวมากกว่า แต่อีกทางหนึ่งพลเอกประวิตรอาจกำลังได้แต้มต่อในการบริหารจัดการพรรคพลังประชารัฐได้ง่ายขึ้นและเอาเข้าจริงพลเอกประยุทธ์ก็ยังไม่ได้หายไปไหน ก็ยังปรากฏตัวและปรากฎข่าวตามหน้าสื่อในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และแม้กระทั่งข่าวศาลจะตัดสินหรือยังไม่ตัดสินหรือเลื่อนการตัดสิน ทั้งหมดจึงทำให้กระแสข่าวพลเอกประยุทธ์เองก็ยังไม่ไปไหน ยังคงยึดโยงและเป็นความหวังกับบรรดากองเชียร์ที่กำคะแนนเสียงของพลเอกประยุทธ์ให้ยังเชื่อมั่นหล่อเลี้ยงกระแสเดินต่อได้ ในขณะที่งานเก็บแต้มคะเนนจริงจากสส.เป็นหน้าที่ของพลเอกประวิตร?
แม้พลเอกประวิตรจะถูกตั้งคำถาม จากเรื่องของวัยที่มีมากไม่ต่างจากบารมี แต่เมื่อมองดูที่คิวงานของพลเอกประวิตรในช่วงเดือนกันยายนนี้ก็พบว่า แทบจะลงพื้นที่ทุกทิศทั่วไทย กลายเป็นว่าข้อสงสัยเรื่องวัยของพลเอกประวิตร ถูกทดแทนด้วยวลีเด็ดว่าพลเอกประวิตรฟิตเกินกว่าวัยหรือไม่?
จนถึงขั้นถูกบางสื่อไปจับเปรียบเทียบกับการลงพื้นที่ของพลเอกประยุทธ์ในเรื่องความถี่ของการลงพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงคงเทียบไม่ได้ เพราะสถานการณ์และเวลาต่างกัน
ก่อนหน้านี้อำนาจของ 3ป. ถูกกระจายอยู่กันคนละด้าน คงไม่ถึงขั้นนับเป็นการถ่วงดุลอำนาจ แต่ก็ลงตัวและมีฐานในการควบคุมคนละด้าน ในด้านราชการที่สำคัญทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นจะอยู่ภายใต้พลเอกอนุพงษ์ ในด้านราชการส่วนกลางและกระแสความนิยมของประชาชนจะอยู่กับพลเอกประยุทธ์ ในขณะที่การควบคุมแต้มจริงทั้งในพรรคพลังประชารัฐและการคุมเกมสภาของสส.ซีกรัฐบาลจะอยู่ที่พี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม ดังนั้น เท่ากับตอนนี้ บิ๊กป้อมต้องแบกส่วนที่เป็นอำนาจส่วนกลาง และการแบกกระแสความนิยมจากประชาชนแทนพลเอกประยุทธ์ ซึ่งอย่างหลังนับว่าท้าทายมากและส่งผลอย่างมากต่อการแข่งขันกับขั้วตรงข้ามทางการเมืองโดยเฉพาะฤดูกาลเตรียมหาเสียงเลือกตั้งอย่างในตอนนี้?
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยแม้พรรคเพื่อไทยที่ในตอนนี้ก็มีภาพลักษณ์แบบค้างคาเช่นเดียวกันว่า หมอชลน่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับนางสาวแพทองธาร ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ใครกันแน่ที่จะเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาของบรรดาลูกพรรคที่ตบเท้าเข้ามาขอคำแนะนำและปรึกษากันแน่?
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความไม่ชัดเจนดังกล่าวก็ดูไม่น่าจะส่งผลต่อความพร้อมของการเลือกตั้งมากเท่าไหร่นัก เพราะในความเป็นจริงแล้ว ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย ก็ดูจะไม่ได้ยึดโยงกับทั้งหัวหน้าพรรคและหัวหน้าครอบครัวเท่าไหร่หรือไม่? เพราะน่าจะไปยึดโยงกับอดีตนายกฯมากกว่าหรือไม่ อีกทั้งการที่พรรคเพื่อไทยก็ถือว่าเป็นที่ก่อตั้งมานาน กลุ่มก๊วนภายในยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่า ขณะที่ฐานคะแนนเสียงของพรรคยังหยั่งรากฐานยึดโยงกับประชาชนจนมีคะแนนแฟนคลับของตนมานานกว่า
แต่ในเวลานี้ทั้งสองพรรคที่มีหมัดเด็ดคนละหมัดกำลังเดินหน้าลงพื้นที่แบบจริงจังก็ทำเอาพรรคอื่นๆอยู่ไม่ได้แล้วเหมือนกัน หมัดเด็ดที่ว่าของพรรคพลังประชารัฐคือ อำนาจรัฐจากการเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่แม้ไม่มีนายกฯแต่มีรักษาการนายกเดินสายให้อยู่ตอนนี้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีคะแนนเสียงเสื้อแดงที่ตอนนี้มาในรูปครอบครัวเพื่อไทยที่กำลังถูกปลุกความเคลื่อนไหวอยู่ทั่วประเทศตอนนี้จากการลงพื้นที่อย่างหนักของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
หลังจากนี้ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของทั้งสองพรรคนี้ให้ดี เพราะในการลงพื้นที่ของทั้งสองพรรคแต่ละครั้ง มักจะแฝงไปด้วยวัตถุประสงค์ทางด้านยุทธศาสตร์ที่แอบแฝงอยู่ ครอบครัวเพื่อไทยที่น่าจะไปทางเน้นเรื่องปักธงว่าที่ผู้สมัครเป็นหลัก ขณะที่พลังประชารัฐเน้นเดินหน้าดึงกระแสเป็นตัวนำและเยี่ยมเยียนผู้สมัครเพื่อรักษาตัวไว้ก่อน แต่หากว่ากันตามตรงแล้วโจทย์ของพรรคพลังประชารัฐดูจะมีงานที่ยากกว่าพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
ในแง่ของคะแนนความนิยมพรรคเพื่อไทยยังคงมีความเป็นต่อ เพราะเป็นพรรคการเมืองที่มีอายุประสบการณ์มากกว่า บวกกับความบอบช้ำของพรรคพลังประชารัฐที่พึ่งบริหาประเทศมาหมาดๆแผลจึงสดกว่า แต่การที่พรรคเพื่อไทยเสียเลือดที่ไหลออกไปเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ความแข็งแกร่งในเรื่องคะแนนเสียงลดลงไปบ้าง ซึ่งนั่นก็อาจทำให้พรรคเพื่อไทยอาจต้องเฟ้นหาผู้แทน ฝีมือดีขึ้นมาแทนที่ ซึ่งแม้จะเป็นงานที่ดูไม่ยากเพราะรอบที่ผ่านมาก็เปลี่ยนไปไม่น้อยจากการที่ผู้สมัครย้ายไปพลังประชารัฐแต่ก็ไม่ง่ายที่จะหาผู้สมัครหน้าใหม่ในยุคที่พรรคภูมิใจไทยเข้มแข็งในพื้นที่เดียวกันเช่นนี้
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐที่ในตอนนี้เอง ก็มีปัญหาภายในพรรค ที่ต้องดำเนินการแก้ไข ทั้งเรื่องของความเป็นปึกแผ่นและความคิดที่ไม่ได้สอดคล้องกันมากนัก ซึ่งก็ดูเป็นปัญหาที่หนักหนาพอสมควร ซ้ำร้ายยังมีเรื่องของคะแนนความนิยมที่ยังเป็นหนึ่งในปัญหาหลักๆ ซึ่งในจุดนี้ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ก็คงทราบดีและได้ปล่อยหมัดเด็ดในเวลาที่ถูกที่ควรนั่นคือ จากการที่เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลจึงสามารถออกนโยบายหรือมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน และเป็นการสร้างคะแนนความนิยมในขณะเดียวกัน อย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างคนละครึ่ง รวถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบล่าสุดที่พึ่งประกาศลงทะเบียนรอบใหม่ไปที่แม้จะโดนโจมตีเรื่องการกรอกข้อมูลที่ยากลำบากในตอนนี้แต่ก็เชื่อว่าประชาชนเต็มใจที่จะกรอกเพื่อรอรับสิทธิ ซึ่งน่าจะพอช่วยเรื่องคะแนนนิยมได้ไม่น้อยเลย
ส่วนเรื่องคะแนนเสียง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐต้องทำควบคู่ไปด้วยเช่นกันหลังจากนี้การลงพื้นที่นอกจากจะเป็นการตรวจเยี่ยมงานราชการและพบปะประชาชนแล้ว ก็อาจจะมีเรื่องของการรักษาผู้สมัครในพื้นที่นั้นๆ ด้วยรวมถึงทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นกับสส.ของพรรคในเรื่องปม 8 ปี นายกฯว่าจะส่งผลทางใดหรือไม่ส่งผลต่อพรรคอย่างไร
แต่ในแง่ของการเมืองภาพใหญ่แล้ว ไม่ว่าคำวินิจฉัยของพลเอกประยุทธ์ ในเรื่องของปมนายกฯ 8 ปี จะออกมารูปแบบใดก็ตาม ก็ไม่น่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้งใหญ่มากนัก แบบดีสุดคือเริ่มนับปี’60 ความเชื่อมั่นพรรคพลังประชารัฐจะยิ่งกลับมาเชื่อมั่นกว่าเดิมหรือหากแม้พลเอกประยุทธ์จะต้องโดนนับตั้งแต่ปี’60 ที่เท่ากับอยู่ได้อีกไม่เต็มสมัยหน้าแต่ก็เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐยังคงชูพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในรอบหน้าอยู่ หรือแม้กระทั่งหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยถาวร จากปมเรื่องนายกฯ 8 ปี แต่ก็มีโอกาสไม่น้อยที่พลเอกประยุทธ์จะยังสามารถนั่งในตำแหน่งรักษาการอยู่ได้
อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องของกฎและกฎกติกาการเลือกตั้งที่ในตอนนี้ยังไม่สำเร็จโดยบริบูรณ์ และน่าจะต้องกินระยะไปอีกช่วงหนึ่งโดยที่ในตอนนี้เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าข้อสรุปเรื่องกติกาเลือกตั้งครั้งต่อไปนั้น จะได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า แม้จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองที่ร้ายแรงที่สุดขึ้น แต่ธงที่ตั้งไว้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2566 ก็น่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
ประกอบกับว่าในยามนี้เองหากลองมองรายชื่อของผู้ที่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ได้นั้น ก็ยังไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมและทดแทนได้อย่างไร้รอยต่อ หรือหากเป็นพลเอกประวิตร จะรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ผลที่ออกมาก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะสุดท้ายการบริหารจัดการของพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร ก็ดูมีแนวทางที่ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่
เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นที่ทราบกันดีของแต่ละพรรคการเมืองอยู่แล้ว ทั้งฝ่ายรัฐบาลหรือแม้แต่ฝ่ายค้านเอง และน่าจะมีการ
เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
และไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในแง่ใด แต่โค้งสุดท้ายก็ยังเป็นช่วงโค้งสุดท้ายอยู่ดี กล่าวคือ ปัจจัยเสริม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยหลักอย่างเรื่องช่วงเวลาได้ แต่ละพรรค แต่ละฝ่าย จึงเบนเป้า ใช้เวลาไปกับการลงพื้นที่เพื่อวางแผนเชิงยุทธศาสตร์กันเสียมากกว่า ซึ่งการลงพื้นที่นั้น ก็เป็นไปอย่างเข้มข้น ที่ยังมองไม่ออกกลับเป็นทิศทางของพรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ว่าจะมุ่งไปทางใดเชื่อว่าไม่เกินอีกสองเดือนอาจจะเห็นการควบรวมพรรคในรูปแบบต่างๆ กันให้เห็นก็เป็นได้ รอติดตาม
“ชีวิต หากพยายามให้ดำเนินไปตามครรลองอันถูกต้อง
จะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์นับอนันต์ หรือยากไร้จนต้องภิกขาจาร
หากถืออุเบกขามิฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยาน ย่อมมีความสุขสมอัตภาพทุกรูปนาม”
โกวเล้ง จาก นักสู้ผู้พิชิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี