5.การเลือกตั้งยุคปัจจุบัน
การเมืองไทย ตกอยู่ใน ๒ ระบบความคิดใหญ่ ที่คงอยู่ ครอบงำสังคม คือ ยุคทุนสามานย์ เริ่มต้น ปี ๒๕๔๔ ยุคความคิดอคติ สามานย์ ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา
ซึ่งทั้ง ๒ ระบบคิด นี้ มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้อง มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยและการเลือกตั้งมีทั้งเหมือนกัน และ ต่างกัน ในทางเป้าหมายและวิธีการ มีทั้งการร่วมมือกัน และขัดแย้งกัน (ช่วงชิง ฐานมวลชน ในเมือง และชนบท) เพื่อให้ได้ สส. มากที่สุดในการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองของเขา จะได้มีโอกาสเป็นรัฐบาลและแสดงบทบาทในรัฐสภา และนอกรัฐสภาฯ
เรากลับมาดูกรอบความคิด ของ กลุ่มทั้งสอง กันอีกครั้ง
ยุคทุนสามานย์ ๒๕๔๔ ที่เป็นการเปลี่ยนการเลือกตั้ง เป็นธุรกิจการเมืองครั้งใหญ่ ที่ครบเครื่องเงินทองมหาศาล ซื้อเสียง ขายเสียง ซื้อกรรมการเลือกตั้ง (บางส่วน) การใช้สื่อ ข้อมูลเท็จการใช้นักวิชาการนักล็อบปี้ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มวลชนฯ และต่างประเทศ การใช้ “โครงการใหญ่กลางเล็ก เป็นนโยบาย” ซื้อขายเสียงล่วงหน้า และผูกมัดหัวคะแนนและชาวบ้าน ซึ่งกลายเป็นต้นแบบ ของการซื้อเสียงขายเสียงของการเลือกตั้ง ต่อมา
2.ยุคความคิดอคติ สามานย์ ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา
ยุคที่มีการใช้วาจาสามหาว จาบจ้วงล่วงละเมิด โกหก หลอกลวงใส่ร้ายป้ายสีครั้งใหญ่ เกิดจาก “นักเลือกตั้ง สส. จากพรรค ฝ่ายค้าน” ที่มีความคิดอคติ ต่อ “สถาบันหลัก และต่อรัฐบาล” โดยไม่มีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ ต่อสังคมและบ้านเมืองฯ และมุ่งใช้ “เยาวชน” และมวลชนที่ขาดคุณภาพ : เป็นเครื่องมือโดยมีอคติต่อรัฐ (ทั้งรัฐบาล สถาบันฯเป็นหลัก) เป็นตัวชี้นำ
กรอบความคิดของ ทั้ง ๒ กลุ่ม
ระบบการเลือกตั้ง ในสังคมเหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาค ไม่เป็นธรรม สังคมขาดคุณภาพ และประชาชน ขาดคุณภาพ ทำให้ “ระบบการเลือกตั้งไทยไม่สุจริตที่ยงธรรม” (กกต. ปี ๒๕๕๗ ได้เคยสรุปถึงการเลือกตั้งว่า “เป็นการเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม” คือ “ไม่สามารถมีพรรคการเมืองที่มีอุดมคติ จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” โดยพรรคการเมืองที่มีอุดมคติ ใช้นโยบายที่ดีมีประโยชน์ต่อประชาชน หาเสียง และการหาเสียงแบบตรงไปตรงมา พูดความจริง(ไม่โกหกมดเท็จฯ) ไม่สามารถ ได้ สส. มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้
(เป็นข้อสรุปของ อดีตหัวหน้าพรรคที่มีอุดมการณ์พรรคหนึ่ง
ซึ่งถูกเชิญให้เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้ เพราะ “ตนเองได้สรุปความจริงของสังคมไทย” และได้เสนอให้ “พรรคที่มีอุดมการณ์พรรคนั้น” หยุดชั่วคราว “การไม่ซื้อเสียง และการไม่ยอมพูดโกหกมดเท็จฯ” แต่กรรมการพรรคนั้น ส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับอดีตหัวหน้าพรรคคนนั้น จึงลาออกจากพรรค ในปี ๒๕๓๙) แล้วมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ และใช้ “กรอบคิดของเขา” เป็นเข็มทิศนำทาง
ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายขั้นแรก คือ การเป็นรัฐบาลพรรคเดี่ยว และได้เริ่มดำเนินการตามแผนต่อไป คือ การเข้าควบคุมและบงการ “กองทัพ” ซึ่งทำได้ระดับหนึ่งการเข้าแทรกในสถาบันยุติธรรม ทั้ง ตำรวจ อัยการ ศาล ฯ ผ่านกลไกรัฐ
แต่จุดพลาดของเขา คือ “ใจเร็วด่วนได้” ในเรื่องสถาบันหลักของชาติทำให้นายทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนรับไม่ได้ และหันหลังให้เขาจึงทำให้ “เขา” ต้องสูญเสียอำนาจ และ “การใช้อำนาจรัฐ โดยมิชอบ โกงกิน คอร์รัปชั่น แทรกแซงรัฐสภาและกระบวนการยุติธรรม ทำให้ “ประชาชนส่วนใหญ่” ไม่พอใจ ออกมาประท้วงคัดค้านฯ และในที่สุด ทั้งตัวเขาและน้องสาว ต้องหนี “คดีและศาล” ไปซ่องสุมผู้คนในต่างประเทศ
อุปสรรคใหญ่ของ “การบรรลุเป้าหมาย ในการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว” อยู่ที่ “กองทัพ” และ “สถาบันหลักของสังคม”ฉะนั้น เป้าหมายใหญ่ของพวกเขา คือการทำลาย ล้ม และทำลายความชอบธรรม โดย “การให้ข้อมูลเท็จ”เกี่ยวกับ” สถาบันทั้งสอง “ต่อ” มวลชนและเยาวชน ที่ขาดคุณภาพ คือ “ขาดความรู้ ในข้อมูล และความจริง ของสภาพสังคมไทย เกี่ยวกับสถาบันทั้งสอง”ให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า “สถาบันทั้งสอง เป็นอุปสรรคใหญ่ของประชาธิปไตยของพวกเขา”
มาตรการและวิธีการของพวกเขา (๑) อาศัย “อุดมการณ์” ประชาธิปไตย&สิทธิเสรีภาพ (ที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม) มาเป็นข้ออ้าง
ประชาธิปไตย : คือ เสียงของประชาชน ที่ไปลงเลือกตั้ง (ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม)
สิทธิเสรีภาพ : คือ สิทธิ ที่สามารถทำได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง (โดยขาดความรับผิดชอบ & หน้าที่ฯ ) โดยอาศัย บุคคล หรือ กลุ่มคนดังต่อไปนี้ เป็นเครื่องมือ :
นักวิชาการที่มีกรอบคิดไม่เอาสถาบันฯ และบัณฑิตน้อยใหญ่ที่อยู่หอคอยงาช้าง ไม่เคยสัมผัสและลงไปคลุกคลีตีโมงกับชาวบ้านนักเคลื่อนไหวปีกซ้ายจัด นักเลือกตั้งทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น กลุ่มคนที่เชื่อถือ “ฝรั่ง” ในเรื่อง “ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ แบบตะวันตก” สื่อ เครือข่ายสื่อ และสังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือ รวมทั้ง “พวกนักประชาธิปไตยต่างประเทศ” ให้เข้ามาช่วยสนับสนุน
(๒) เสนอวาทกรรม “พวกเขา คือ = ความถูกต้อง ส่วนรัฐบาล & พวกอื่น คือ=ความผิด” โดย พวกเขา เลือกสรรเป้าหมาย คือ กลุ่มคน :ที่ขาดคุณภาพ ไม่ได้เป็นพลเมืองที่เอาการเอางาน (ACTIVE CITIZEN) **(ดูหัวข้อถัดไป) คือ ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่ยากจน และขาดความรู้ ความจริง
นักการเมืองส่วนกลาง-ท้องถิ่น ที่มีเป้าหมาย เข้าสู่อำนาจรัฐ สามารถทำได้ทุกเรื่องทั้งถูกและผิดรวมทั้งกลุ่มหัวคะแนน และผู้หวังผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง เฉพาะหน้าเยาวชน ที่มีความเร้าร้อน ต้องการการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้า แต่ขาดความรู้และประสบการณ์
(๓) ใช้การบิดเบือน ให้ข้อมูลเท็จ หรือจริงปนเท็จ เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
หนึ่ง เพื่อทำลาย ฝ่ายตรงกันข้าม ให้เป็นผู้ผิด ผู้ทำลายบ้านเมือง และไม่หวังดีต่อประชาชน
สอง เพื่อดึง “ประชาชนที่ขาดคุณภาพ และเยาวชน” เข้ามาเป็นพวก และให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
สาม ทำให้คน ไม่สนใจ ในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อส่วนรวมฯ
(๔) เครื่องมือและกลไก ในการทำงาน
ทุนก้อนใหญ่ นักวิชาการ มวลชน สื่อ กลุ่มคนอคติ ที่ไม่เอาสถาบัน และกองทัพฯ โดยเฉพาะ “การใช้สื่อ และโซเชียลมีเดีย” อย่างเป็นกระบวนการทำอย่างต่อเนื่องทำทุกรูปทุกแบบ ทุกเหตุการณ์ บิดเบือน ปั่นกระแส ปั่นความคิดเป้าหมายเป็นลักษณะ “soft ware” ที่ฝรั่งมังค่าใช้ ทำลายความเชื่อ “ต่อคนเอเชียและผิวสี” ฯลฯ ยกย่อง “ฝรั่ง ผิวขาว” ยิ่งใหญ่ โดยพวกเขาใช้ “ด้อยค่า” และลดความเชื่อถือ ต่อสถาบันหลัก กองทัพและรัฐบาล(ที่ไม่ใช่ยุตเขา) เชิดชู ยกย่อง “คนโกงชาติบ้านเมือง ใช้อำนาจมิชอบแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และสถาบันต่างๆ”
(๕) ประเด็นที่ใช้ในการเคลื่อนไหว
ประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพการรัฐประหาร คือ เผด็จการทุกประเด็นและเหตุการณ์ โดยบิดเบือนความจริง ให้ความเท็จและยาพิษต่อประชาชน ฯลฯ
พลเมืองที่เอาการเอางาน (ACTIVE CITIZEN)
หมายถึง การปฏิบัติตนอย่างรับผิดชอบในฐานะพลเมืองไทยและพลเมืองโลก รู้เคารพสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นเคารพในกฎกติกาและกฎหมาย มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างมีวิจารณญาณ อยู่ร่วมกับผู้อื่นท่ามกลางความหลากหลาย เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีบทบาทในการตัดสินใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยยึดมั่นในความเท่าเทียมเป็นธรรม ค่านิยมประชาธิปไตย และสันติวิธี
ความเป็นพลเมืองนั้นถือว่า ต้องทำให้เกิด มิใช่เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น
สิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นในตัวบุคคลเพื่อให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าของสังคม (“กำลังของเมือง”)คนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมีบทบาทในชุมชน
มีจิตอาสา (กระทำสิ่งต่างๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนแก่ตนเอง)และ จิตสาธารณะ (มีจิตที่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก) ศรัทธาในการรีไซเคิลทรัพยากรเพื่อถนอมสิ่งแวดล้อม รักสันติภาพ ร่วมบริจาคทรัพยากรเพราะตระหนักดีว่าเป็นความรับผิดชอบของตน
(ก) การเคารพความแตกต่างของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตาความเชื่อ เชื้อชาติ
(ข) เคารพสิทธิและความเสมอภาค
(ค) มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง
(ง) เคารพกฎหมายและกฎกติกาของสังคม
(จ) ใฝ่สันติภาพ
โยงใยกับปรัชญาซึ่งนำเสนอว่าสมาชิกขององค์กร (ไม่ว่าธุรกิจหรือรัฐ)หรือของประเทศ ล้วนต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทบาทในด้านการปกครองเลยก็ตามทีพูดง่ายๆ คือบุคคลทั้งหลายต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม
เหตุผลคือ ทุกคนเมื่อเกิดมาได้รับสิทธิจากรัฐ และในฐานะมนุษย์ ก็ได้รับประโยชน์โดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองได้รับ
ปัญหาและอุปสรรค และสิ่งที่ “คนที่เข้าสู่การเมือง” ต้องเผชิญ
คนที่เข้าสู่การเมือง โดยส่วนใหญ่ รู้และเข้าใจ ว่า “การเมือง” สามารถทำให้เขา บรรลุ “เป้าหมาย” ที่เขาต้องการได้
อุดมคติ : คือ มีความคิดเพื่อส่วนรวม เพื่อบ้านเมือง
อุดมการณ์ : มีชุดความคิดหนึ่ง (ที่หลากหลาย ทั้งเหมือนและแตกต่างกันไป) ที่จะไปบรรลุเป้าหมายของตน
อำนาจ : การได้มาซึ่งอำนาจ และการรักษาป้องกันอำนาจ(ผลประโยชน์) ของเขา
เงินทองและการมีชื่อเสียง : มีบทบาทเป็นที่ยอมรับของสังคม ฯลฯ
เราพอจะแบ่งและจำแนกออกมาได้กว้างๆ
กลุ่มคนดี มีอุดมคติ
กลุ่มคนต้องการอำนาจ
กลุ่มคนที่เปลี่ยนสีแปรธาตุ
กลุ่มคนดี มีอุดมคติ
ความมีอุดมคติ เกิดจากการปลูกฝั่งของ “ พ่อแม่-ครู-พระ” และ “ศาสนา” อ่านศึกษาตำรา เชิดชมยกย่อง “ผู้นำไทย-โลก” ที่เป็นแบบอย่างเติบโตจากการสนใจทำกิจกรรมจิตอาสา ในมหาวิทยาลัย อย่างต่อเนื่อง เข้าร่วมเหตุการณ์ การเปลี่ยนแปลงในมหาวิทยาลัยและประเทศมีเหตุการณ์สำคัญระดับใหญ่ ในบ้านเมือง ฯลฯ
กลุ่มคนต้องการอำนาจฯ
ประสบปัญหาอุปสรรคในชีวิตและธุรกิจ และเห็นว่า “ต้องมีอำนาจ” จึงจะแก้ไขได้เห็นตัวอย่างของ “คน” ที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่รวยขึ้น มีอำนาจมากขึ้น เพราะ “เข้าสู่การเมือง” สรุปบทเรียนที่ตนประสบพานพบ ไม่มีทางแก้อื่น นอกจากการเล่นการเมือง ได้ข้อสรุปว่า “การเมือง” เป็นธุรกิจ(การเมือง) ที่เหนือกว่า ดีกว่า “ธุรกิจอื่นๆ” บางคนเป็นคนดี และต้องการเข้าสู่การเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงและแก้ปัญหา และเข้าใจดีว่า “ต้องมีอำนาจ” จึงจะแก้ปัญหาได้ ฯลฯ
กลุ่มคนเคยมีอุดมการณ์ ที่เปลี่ยนสีแปรธาตุ
คงเน้นไป ยัง “กลุ่มคนที่เคยมีความคิดอุดมคติ มีอุดมการณ์ ๑ของตนเคยเข้าร่วมเหตุการณ์การต่อสู้ประชาธิปไตยที่สำคัญ ในประวัติศาสตร์ ทั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ฯลฯ แต่ “อุดมการณ์ ๑” ของตนนั้น ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ (เพราะเหตุปัจจัยหลากหลาย อย่างหนึ่ง คือ “ทฤษฎ” ที่นำมาใช้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมฯ) แต่ตนเอง ยังคงคิดหาหนทางต่อสู้ต่อไป ตามอุดมการณ์ของตน แต่เมื่อพบทางตัน และความไม่พร้อมหลายปัจจัยฯ จึงเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ มาสู่ “การเมืองเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” เข้าไปสังกัด “นายใหญ่” ที่เป็นเจ้าของพรรคและเดินตาม โดยไม่เคารพเกียรติศักดิ์ศรีของตนเพราะทั้งที่รู้ดีว่า “นายใหญ่และครอบครัว” ต้องการอำนาจ เพื่อ “ตัวเองและครอบครัว” คนกลุ่มนี้จึงทิ้งจุดยืน “การมีอำนาจเพื่อส่วนรวม” ไปสู่ “การมีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ตนเอง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี