มีคำถามตรงประเด็นที่ผู้บริโภคทุกคนจำเป็นต้องตอบให้ชัดคือ คุณมั่นใจหรือว่าบริษัทเอกชนทุกแห่งบนโลกนี้ทำธุรกิจโดยเน้นผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นที่ตั้งโดยแท้จริง หรือพูดให้ชัดกว่าเดิมก็คือ คุณเชื่อหรือว่าบริษัทเอกชน (แม้กระทั่งรัฐวิสาหกิจก็ตาม) ทำธุรกิจโดยไม่แสวงหากำไรสูงสุด
ขึ้นชื่อว่าบริษัทเอกชนแล้ว สิ่งสำคัญเขาต้องการคือกำไรสูงสุด เพราะเขาทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร ดังนั้นบริษัทเอกชนจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีกำไรมากที่สุด หากทำธุรกิจไปแล้ว ไม่สามารถสร้างกำไรตามที่ต้องการได้ บริษัทเอกชนก็ปิดกิจการลง โดยบริษัทไม่เคยคำนึงหรอกว่า เมื่อปิดกิจการไปแล้ว คนงานในบริษัทจะเดือดร้อนมากแค่ไหน หรือผู้บริโภคจะต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนสักเพียงใด
การควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคก็คือการดำเนินธุรกิจของเอกชนเพื่อให้เอกชนสามารถอยู่รอดและได้กำไรสูงสุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่เอกชนจะแสวงหากำไรสูงสุด แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่หน่วยงานที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรของประเทศ อันมีหน้าที่ดูแลและกำกับการให้บริการของบริษัทเอกชน ได้ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของสาธารณะอย่างจริงจังแล้วหรือยัง อย่าลืมว่าองค์กรที่มีหน้าที่กำกับและดูแลกิจการด้านโทรคมนาคมของประเทศ มีภารกิจหลักคือการรักษาผลประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่กินเงินเดือนและผลประโยชน์จากประเทศแต่ดันยอมทำตัวเป็นทาสรับใช้บริษัทเอกชน หากต้องการรับใช้บริษัทเอกชนก็ต้องลาออกจากองค์กรที่เป็นของประเทศ แล้วไปรับใช้บริษัทเอกชน
แน่นอนว่าการรวมกิจการใดๆ ก็ตาม มีทั้งผลบวกและลบเสมอ แต่ก็ต้องดูว่าผลบวกตกอยู่กับสาธารณะหรือตกอยู่กับเอกชน หากผลบวกไปอยู่ในมือของเอกชน โดยที่สาธารณชนไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ องค์กรของประเทศที่มีหน้าที่ดูแลและกำกับกิจการโทรคมนาคมก็ต้องไม่ยินยอมให้เกิดความเลวร้ายเช่นนั้นขึ้นเป็นอันขาด หากยังมีสำนึกของการเป็นผู้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ
การควบรวมกิจการระหว่างเอกชนด้วยกันจะให้ผลดีกับเอกชนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะประการแรกนั้นจะทำให้เอกชนมีเงินลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งทำให้ได้เงินลงทุนมากกว่าต่างคนต่างลงทุน ถามว่าทำไมเอกชนต้องลงทุนขยายกิจการ คำตอบก็คือเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น ได้ลูกค้ามากขึ้น และสามารถเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่เมื่อควบรวมกิจการแล้ว สิ่งที่ตามมาชัดๆ คือ การแข่งขันในเชิงการตลาดจะลดลงไปทันที เพราะเมื่อจำนวนผู้ให้บริการลดลง เช่น จากเดิมที่มีผู้แข่งขันกันจำนวน 4-5 ราย แล้วลดลงเหลือ 2 ราย นั่นหมายความว่าเอกชนทั้งสองรายนั้นอาจจะสมยอมระหว่างกัน เพื่อแบ่งรายได้กันเอง โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการแข่งขันเพื่อให้บริการที่ดียิ่งๆ ขึ้น กับลูกค้าอีกต่อไป
เมื่อจำนวนผู้ให้บริการเหลือน้อยลง การแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้าก็ไม่จำเป็นต้องดุเดือดหรือจริงจังมากเหมือนในช่วงที่มีคู่แข่งทางการค้าจำนวนมากราย ดังนั้นผลเสียอันดับแรกก็จึงตกกับผู้ใช้บริการโดยปริยาย
อย่าลืมว่าธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากระดับหลายหมื่นล้านบาท ดังนั้นโอกาสที่จะมีคู่แข่งรายใหม่แทรกตัวเข้าไปช่วงชิงลูกค้าในอุตสาหกรรมชนิดนี้ จึงเป็นเรื่องที่เกิดได้ค่อนข้างยากมาก ดังนั้นเมื่อผู้ให้บริการมีน้อย การแข่งขันก็น้อยลง ผู้บริโภคก็จึงถูกจำกัดทางเลือก และที่ชัดเจนก็คือการได้รับบริการที่ดีก็จะลดลงหรือหายไป เพราะลูกค้าหรือผู้บริโภคไม่มีอำนาจต่อรองกับผู้ให้บริการ
ยิ่งสังคมยุคปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาระบบโทรคมนาคมอย่างเข้มข้น ก็หมายความว่าผู้บริโภคไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ หากไม่ได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพสูงจากผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคมที่เหลืออยู่
ประเด็นที่สำคัญที่ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งคือ การควบรวมกิจการจะนำไปสู่การครอบงำตลาดหรือไม่หากการควบรวมกิจการแล้วนำไปสู่การครอบงำตลาดก็หมายความว่าผลเสียจะตกกับผู้บริโภคโดยทันที และผู้บริโภคจะกลายเป็นเหยื่อของบริษัทเอกชนไปตลอดชีวิต จนกว่าผู้บริโภคจะตายจากไป
เพราะฉะนั้น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องสำเหนียกให้จงหนักว่าทุกวันนี้ กสทช. ทำหน้าที่เพื่อสาธารณะหรือเพื่อเอกชน หากรู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานเพื่อผลประโยชน์สาธารณะได้แล้ว มีทางเลือกสองทางคือ ผู้บริหารระดับสูงของกสทช. ลาออกเสียโดยพลัน หรือไม่ก็ยุบ กสทช. ทิ้งไปเถอะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี