l การทำการเมือง เพื่อชาติบ้านเมือง ในระบบการเมืองเลือกตั้ง ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม : ต้องทำอย่างไร โครตยากเลยครับ
1.เรามาดูความจริง : คนดีมีความตั้งใจดี เข้าสู่การเมือง80-90% ไม่บรรลุ หรือล้มเหลว ทั้งกลุ่มคนที่อุดมคติ เข้าไปจัดตั้งพรรคการเมือง และ คน(ปัจเจก)ที่เข้าไปร่วมกับพรรคการเมือง
๑.การไปจัดตั้งพรรคการเมือง ตั้งพรรคการเมืองใหม่ และ หรือออกมาจากพรรคอื่น มาตั้งพรรคที่มีอุดมคติ ความตั้งใจและความปรารถนาดี : อยากให้ เมืองไทย มีพรรคการเมืองที่ดี มีอุดมคติ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง นำเสนอหลักการที่ดี ดูดี มีเรื่องราว นโยบายและหลักการที่ดี ถ้าหากได้เป็นพรรครัฐบาลพรรคเดียว ก็อาจจะได้นำนโยบายไปใช้ได้จริง (แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก เพราะไม่สอดคล้องกับบริบทและสภาพสังคมไทยในยุคปัจจุบัน : ซึ่ง “อุดมคติ นโยบายและหลักการที่ดี” ไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่า จะได้เป็น สส. หรือสามารถทำให้พรรคได้เสียงพอที่อาจจะได้เข้าร่วมรัฐบาล)
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ที่พรรคการเมืองเชิงอุดมคติ ที่สามารถได้มาซึ่ง สส.จำนวนมาก เช่น พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคพลังใหม่ พรรคแนวร่วมสังคมนิยม หรือพรรคพลังธรรมรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคก่อนปี ๒๕๔๔ เป็นเพราะ
หนึ่ง ระบบทุนสามานย์ ที่พัฒนาการหาเสียงเลือกตั้ง ใช้ทั้งเงินทุนมหาศาล ซื้อเสียง ซื้อสส. และซื้อพรรค รวมทั้ง สว. ใช้สื่อทุกระบบ นักวิชาการขายตัว หัวคะแนน และมวลชนฯ ยังไม่เกิด
สอง เป็นช่วงกระแสสูงของการเมืองน้ำดี ที่เกิดมาจาก กระแสต่ำของการเมืองน้ำเน่า ที่มวลมหาประชาชน ให้การตอบรับโดยมีความคาดหวังว่า “จะมาเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคม”
สาม มีผู้นำ หรือกลุ่มผู้นำ ที่มีความกล้าหาญเสียสละเป็นที่ยอมรับของสังคม
๒.คนที่มีอุดมคติ ไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ที่มีอยู่แล้ว หรือมีพรรคที่มีอุดมคติ ก่อตั้งพรรค
การเข้าไปเชิงปัจเจก ยิ่งมีความยากลำบากมากกว่าหลายสิบเท่า ฉะนั้น คนที่มีอุดมคติ ที่ไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองฯ และสามารถอยู่ได้ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ และ มีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับของพรรคการเมืองและประชาชน ซึ่งมีน้อยมาก และจะมีบทบาทจำกัด เป็นเพียงไม้ประดับ เพราะพรรคการเมือง จะอาศัย “เขา” เป็นตัวชู ในระดับหนึ่งไม่สามารถยกให้สูงเด่น เป็นรัฐมนตรี หรือมีตำแหน่งสำคัญในพรรค
l แล้ว คนที่มีอุดมคติเหล่านี้ จะค่อยทยอยถอยออกมาดังที่ปรากฏมาแล้ว และยังมีให้เห็นอีก ไม่จบไม่สิ้น เพราะ “คนมีอุดมคติเหล่านี้”
๑.มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
๒.คิดและทำ ในเรื่องที่ดี จริงใจ และสุจริตใจ ไม่ทำผิดกฎหมาย หรือขัดกับอุดมคติ
๓.ส่วนที่ออกมาจากพรรคการเมืองเก่า มาตั้งพรรคการเมืองใหม่มองด้านเดียว มองว่า “พรรคการเมืองเก่า” ที่พวกตนได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรีมีแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่จริงใจ และไม่เอาจริงกับผลประโยชน์ของประชาชน และการปฏิรูปการเมือง สังคมฯ
๔.คิดเอาเอง ด้วยการขาดประสบการณ์ที่เป็นจริงว่า จะทำอะไรได้มากกว่า หากเรามีพรรคการเมืองที่ดี ของตนเองแต่ความเป็นจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
๕.ไม่เข้าใจ “วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ ที่ว่า “History repeats itself” หากยังคงอยู่ในบริบท หรือการเมืองในระบบและโครงสร้างเดิม ที่เหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาคเป็นธรรม” เจตนาและความคิดอุดมคติ ของเขาจะเป็นจริงต้องมีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง บริบทใหม่
๖.ไม่เข้าใจ “สภาพสังคมไทยที่เป็นจริง” ที่ระบบและโครงสร้างการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งยังคงเป็นแบบเดิม(ไม่สุจริตเที่ยงธรรม)โดยที่ประชาชนยังด้อยคุณภาพ ขาดความรู้ความสามารถและความเข้าใจ ใครดีใครไม่ดีไม่ได้คิดถึง “การเสียสละเพื่ออนาคต” คิดถึง “ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ที่จะได้” และไม่สามารถแยกแยะ “ข้อมูลจริงเท็จ คนดีคนไม่ดี”
เช่น ในขณะที่ “นักวิชาการที่ดี และพลเมืองที่มีคุณธรรม” ได้ยึดพระบรมราโชวาทของ ในหลวง ร.๙ “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
“การทำดีนั้นทำยาก และเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำเพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่ และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจ และเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดี”
แต่ประชาชนส่วนไม่น้อย แม้จะจงรักภักดีฯ แต่ไม่อาจต้าน “การสร้าง SOFT WARE” ที่ใช้ทุนมหาศาล ทำอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ ของคนโกง ที่เคยมีอำนาจ โกงทุกอย่างไปจากประชาชน โดยใช้อำนาจมิชอบ และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกา ตัดสินว่า มีความผิด ต้องจำคุก แต่ทั้งตัวเอง น้องสาว ที่เคยมีอำนาจ กลับหนีคดีไปต่างประเทศ แล้วใช้เป็นฐานที่มั่น ร่วมกับ อดีตภรรยาและลูกๆ ใช้พรรคการเมืองของตนเคลื่อนไหว ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่า “พวกเขาเป็นคนดี แต่ถูกกลั่นแกล้ง แล้วพวกเขาก็ทำได้สำเร็จระดับหนึ่ง และสร้างความหวัง” จะ “Land Slide” ให้ลูกสาวกลับมาเป็นใหญ่อีกฯ
2.คนและกลุ่มคน ที่เข้าใจสภาพสังคม และใช้เงื่อนไข“การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” เป็นกลุ่มคน ที่ “เล่นการเมือง ได้ยาวนาน” และประสบความสำเร็จ มากน้อย ตามปัจจัยของตนเพราะ
๑.พวกเขาใช้ “ระบบการเลือกที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” เป็นที่มาของการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง
๒.เขารู้ดีว่า “ในสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม” ประชาชนไม่มีคุณภาพ ต้องการ “ใคร” “อะไรก็ได้” ที่พวกเขาจะได้ทันที ได้ในปัจจุบัน ไม่สนใจในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
๓.ใช้การได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาล หรือแม้การเป็นฝ่ายค้านให้เกิดประโยชน์ โดยใช้หลัก “วัดครึ่ง กรรมการครึ่ง” เพราะเขาได้บทเรียนจากประสบการณ์จากการเข้าร่วมการเมืองมายาวนาน และเห็น“อดีตนายกทุนนิยมสามานย์” ที่เชื่อมั่นในอำนาจของตนว่า จะขึ้นสู่การมีอำนาจสูงสุด แต่ผู้เดียวได้ จึงไม่สามารถอยู่ได้ ในสังคมไทยที่มีความจงรักภักดี ต่อสถาบันหลักของชาติ
๔.เขารู้ข้อจำกัดของการเมืองไทย ที่ไม่มี “ใครเป็นรัฐบุรุษ”ที่กล้าเสียสละ กล้าเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตจึงไม่มีการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง ไม่กล้าใช้อำนาจรัฐ เพื่อขจัดคนชั่วโกงกิน ไม่กล้ายึดทรัพย์และเอาคนผิดรวมทั้งครอบครัว มาลงโทษ เพราะ “สังคมไทย อยู่กันอย่างประนีประนอม” ชั่วแค่ไหน ก็อยู่ร่วมกันได้ ในสังคมยุคทุนสามานย์ครองอำนาจ สื่อสามารถถูกใช้ “กล่าวหา ทำลายรัฐบาลได้ หรือแม้แต่จาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ” ยังลอยนวลอยู่ได้
3.คนที่สามารถอยู่ได้ หรือ สามารถทำการเมืองในยุคนี้ได้ เขาต้องยึดหลักการให้มั่นก่อน
๑.มีอุดมคติ คิดดี ทำดี เพื่อบ้านเมืองและส่วนรวม
๒.ยึดมั่นในหลักการ แบบอย่างที่ดี ถูกพิสูจน์มาแล้ว และได้รับการยอมรับจากสังคม
๓.ต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความเข้มแข็งทางจิตใจ สามารถทนและต้านทานกับอุปสรรคได้ในระดับที่แน่นอน รวมทั้งการพัฒนาตนเอง ให้ก้าวหน้าขึ้น มีความรู้ความสามารถ การจัดการได้ดีและการมีเพื่อนมิตรหลากหลาย ที่ยอมรับและเข้าใจเราในสังคมที่จำกัดนี้การมีเพื่อนมิตรที่รัก เคารพ เข้าใจ เรามาจากการเป็นแบบอย่างที่ดีของเรา
๔.ในระบบและโครงสร้างสังคมการเมือง ที่มีเงื่อนไขที่จำกัดนี้ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ถูกหมด แต่หัวใจคือ “ยึดเรื่องหลัก” มาก่อน :
เพื่อให้สามารถพัฒนา ก้าวไปได้ เรื่องรอง ที่อาจจะผิด แต่เป็นความจำต้องผ่าน เพื่อให้สามารถทำงานได้ ข้อสำคัญ อย่าทำเรื่องรอง ที่ผิด จนเคยตัว เพราะมันจะพัฒนามาเป็นเรื่องหลัก ทำให้เราเดินหลงทาง หรือกลายเป็นพวกยอมจำนนไป (มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว)รวมทั้ง เราต้องไม่ทำตัว “เป็นนักการเมืองที่ไม่ดี โกงกิน คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง”
๕.ในสังคมการเมือง แม้เรื่องหลัก คือ “ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์” แต่ก็มีอีกด้านหนึ่ง ที่ทุกพรรคการเมือง และทุกฝ่าย จำเป็นต้องมี คือ “ฝ่ายน้ำดี มีคนดี ที่เก่งงาน มีความสามารถ สามารถสร้างผลงานได้” เป็นตัวชู ให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนและสังคมเราต้องอยู่ในส่วนนี้ และใช้บทบาทนี้ทำงาน สร้างสรรค์พัฒนาฯ
4.ทางออก หรือ ทางเลือกของผู้มีอุดมคติ ที่หวังเข้าสู่ทางการเมือง
(1) ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่า “หากเราต้องการเข้าสู่การเมือง” มี ๒ บทบาท ที่สามารถทำได้
(๑) ทำการเมือง ตามบทบาทหน้าที่ ในฐานะ สส. หรือ สมาชิกของพรรคการเมืองนั้น
ซึ่งจะมีข้อจำกัดมาก แต่ยังสามารถดำเนินการได้โดย “ตัวเอง” ต้องยึดหลัก ในการทำสิ่งที่ดี ถูกต้อง สุจริต ซึ่งหากเรามีความรู้ความสามารถเป็นที่ได้รับการยอมรับจากพรรคการเมืองนั้นๆ และประชาชน เราก็สามารถแสดงบทบาทได้ในบางระดับและหากเรา เน้นบทบาท ในการเสริมสร้าง พัฒนา คุณภาพของบุคคลเหล่านี้ คือ
หนึ่ง “นักการเมืองในพรรค” คือ ให้เขาเข้าใจบทบาทหน้าที่ ในส่วนของนักการเมืองที่ดี
สอง “ชาวบ้าน หรือกลุ่มคนที่เราสัมพันธ์ด้วย” คือ ให้ความรู้ความเข้าใจบทบาทที่ดีและถูกต้องคือ เป็นการพัฒนา “บุคคล” ให้มีศักยภาพที่มากขึ้น สูงขึ้นในช่วงของการรอคอยโอกาส ของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
(๒) ต้องมีความเข้าใจ และยอมรับได้
ในการที่นักการเมือง พรรคการเมือง ที่จะประสบความสำเร็จทางการเมือง คือ การได้เป็น สส. และการได้ สส. จำนวนมากพอ ที่จะเข้าร่วมเป็นรัฐบาลภายใต้ระบบการเมือง ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมต้องมีการทุน อำนาจ สื่อ หัวคะแนน มวลชน ฯลฯ ซึ่งมีบางส่วนไม่สุจริตนักฯซึ่งหากไม่ทำก็ไม่มีโอกาสฯ เพราะ “ทุกพรรค” ที่อยู่ในระบบนี้ เขาก็ทำกันเช่นนี้ เพียงแต่เราไม่ทำตามเขา และเราจะดำเนินการในบทบาทที่ดี ถูกต้อง ฯลฯ โดยเฉพาะ การพุ่งเป้า ไปให้ “ความคิดและความถูกต้อง” ต่อแกนนำหลัก ที่มีบทบาทในพรรค และรัฐบาล @ คนดี มีอุดมคติ เขามีหลักคิดและการทำเช่นนี้ มันเป็นเรื่องของความจริง ที่จำต้องยอมรับ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ยาวนานฯ
(๓) ทำการเมือง ในฐานะ “นักการเมืองภาคประชาชน”
ซึ่งเราสามารถทำ โดยตรงได้มากกว่า แต่เงื่อนไขในการดำเนินการ“ไม่ได้มีมาก” เพราะขาดปัจจัยที่เอื้อหนุน อย่างนักการเมือง (เงินทุนอำนาจ การใช้กลไกของพรรคการเมือง ที่มีความพร้อมมากกว่า)ซึ่งเราจะทำได้ “จำกัด” แต่ก็สามารถทำได้ในระดับที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับ ศักยภาพและความสามารถรวมทั้งประสบการณ์ของเรา
l สรุป ทั้งหมด เราต้องทำด้วยความเข้าใจ มิใช่ฝืนทำ
ทำให้เรา สามารถทำงานได้จริง แม้ไม่มากเท่าที่ปรารถนา เพราะการฝืนทำ มันจะทำให้เราทุกข์ และอยู่ได้ไม่นานมีตัวอย่าง บทเรียนมากมาย สำหรับ “คนที่มีอุดมคติทางการเมือง” ที่ผิดหวังในสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี