ในช่วงที่ท้องนภากำลังพิโรธ สาดฝนกระหน่ำใส่ไม่เว้นแต่ละวันพาให้ประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤต อย่างอุทกภัย และเมื่อน้ำมาแถมใกล้เลือกตั้งด้วย การเมืองจึงไหลตามน้ำมาในทุกยุคทุกสมัย
กรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบทพิสูจน์ของนายชัชชาติ ไม่ใช่งานง่าย เพราะปัญหาน้ำท่วมก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เป็นเหมือนโรคร้ายที่รักษาไม่หายของชาวกรุงเทพฯ มานานนับทศวรรษซึ่งในเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในบททดสอบของนายชัชชาติสิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ คนใหม่ ที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปว่า จะสามารถลบคำสบประมาทว่า เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่มีดีแค่ไลฟ์สดได้หรือไม่? แต่ปัญหาเรื่องน้ำท่วม ก็ไม่ได้เป็นปัญหาของชาวเมืองหลวงเพียงเท่านั้น เผลอๆ จะน้อยกว่าในต่างจังหวัดที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ เพียงแต่คนกทม.ถูกมองว่าเสียงดังกว่าคนต่างจังหวัด เสียงดังกว่านี้คือทั้งเสียงประชาชนและเสียงผู้นำ
ว่ากันตามตรงในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ก็ได้เผชิญภาวะน้ำท่วมมาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งในส่วนภูมิภาคและในแถบปริมณฑล พลเอกประวิตร ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ที่แม้จะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีจากเรื่องของปมนายกฯ แปดปี แต่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว พลเอกประยุทธ์ก็ยังคงลงพื้นที่ในจังหวัดระยอง เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ รวมทั้งเข้าช่วยเหลือ และเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ประสบภัย ซึ่งทำให้เกิดภาพใหม่ของพลเอกประยุทธ์ที่เป็นการลงพื้นที่แบบไม่มีประเด็นการเมือง และถ้าสังเกตดีๆ พลเอกประยุทธ์ ได้เว้นวรรคจากพื้นที่ข่าวการเมืองมากกว่าสามสัปดาห์แล้วในรอบ 8 ปี
ตรงกันข้ามกับพรรคการเมือง ที่หากลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมตอนนี้กลับอาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง
แม้จะเป็นการลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ ของพี่น้องประชาชนตามวาระและหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่กำลังนับถอยหลังสู่เวทีการเลือกตั้งใหญ่ ที่การกระทำทุกการกระทำ รวมถึงการก้าวเดินในทุกย่างก้าว ล้วนจะส่งผลไปถึงวันเข้าคูหาของประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้
จึงไม่แปลกหากพรรคการเมืองแต่ละพรรค จะมีการ Take Action ในเรื่องน้ำท่วมมากขึ้น ใน กทม.จะเห็นภาพข่าวบ่อย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้มีการลุยพื้นที่ ในเขตต่างๆ จังหวัดกรุงเทพฯ รวมถึง พรรคไทยสร้างไทย ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ได้นำทีมลงพื้นที่ย่านหลักสี่และดอนเมือง
แม้การลงพื้นที่ในช่วงวิกฤตนี้ ดูจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมดหรือไม่? เพียงแต่อาจจะมีผลบวกมากหน่อยกับผู้สมัครหน้าใหม่หรือผู้สมัครหน้าเก่าย้ายพรรคที่จะได้เวทีลงไปแนะนำตัวกับประชาชนในพื้นที่ก่อนการเลือกตั้งแบบมีเหตุมีผล
แต่สำหรับนักการเมืองหลายสมัยหรือผู้สมัครจากพรรคเก่าแก่ แบรนด์พรรคหรือท่าทีความเคลื่อนไหวของพรรคบนหน้าสื่อจะส่งผลต่อผู้สมัครในพื้นที่ได้มากกว่า และสำหรับการเมืองยุคใหม่ ที่กระแสโลกมีผลต่อความคิดประชาชนในประเทศ ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างช่วงวัย ตลอดจนเครื่องมือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไป ทำให้ท่าทีและการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองในการรับรู้ของประชาชนต่างไปจากเดิมทั้งในเรื่องข้อมูลที่รับรู้ วิธีที่รับรู้ และวิธีวิเคราะห์ประเมินของประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
แม้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์เจนจัดบนเวทีการเมือง ดูแล้วน่าจะได้เปรียบ จากฐานคะแนนเสียงที่สะสมมาตั้งแต่ในอดีตก็ตามและน่าจะมีคะแนนฐานต่อหน่วยเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่เป็นฐาน แต่ในยุคนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น? และแม้แต่นักการเมืองหน้าใหม่หรือพรรคการเมืองใหม่เมื่อปี’62 ที่ได้คะแนนม้ามืดถล่มทลายมา รอบใหม่นี่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกเช่นกัน? ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่า ในการเมืองยุคใหม่ ความใหม่เก่าของพรรค หัวหน้าพรรค หรือแม้แต่ขนาดของพรรคก็อาจไม่ใช่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนสักเท่าไหร่หรือไม่?
เมื่อความคิดของประชาชนเปลี่ยนไป การแข่งขันของพรรคการเมืองก็เปลี่ยนตามไปด้วย รวมถึงจำนวนพรรคการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น จึงไม่สามารถคาดเดาอะไรได้
พรรคใหญ่ในวันนี้ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะคงสภาพเป็นพรรคใหญ่ไปจนถึงในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่? ส่วนพรรคขนาดกลางในวันนี้ก็ยังมีโอกาสไม่น้อยที่จะขยับขยายสถานภาพของพรรค จากพรรคขนาดกลางไปสู่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ในอนาคต และพรรคการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในรอบนี้อีกก็อาจจะเป็นพรรคการเมืองใหญ่หลังเลือกตั้งก็ได้ หรือหากดูต่างประเทศที่บางที่ก็อาจจะหันไปใช้บริการพรรคอนุรักษ์นิยมให้กลับขึ้นมาอีกก็ได้
อย่างพรรคภูมิใจไทยเอง ที่ก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนแม่เหล็กแรงสูงดึงดูดนักการเมืองจากสารทิศทั่วไทยเข้าสังกัด พร้อมเป็นหนึ่งในพรรคที่ท้ารบกับพรรคขนาดใหญ่ เจ้าถิ่นอีสานอย่างพรรคเพื่อไทยได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในสายตาประชาชนบางกลุ่มก็ชื่นชอบ ชื่นชมกับผลงานที่ว่าด้วยเรื่องกัญชาของพรรคภูมิใจไทยไม่น้อย และกลายเป็นพรรคที่สามารถปักธงกลางใจสายเขียวได้อย่างไม่ยากเย็น จนหลายฝ่ายต่างก็ลงความเห็นว่า พรรคภูมิใจไทยก็เป็นหนึ่งในพรรคที่เดินกวาดคะแนนเสียงควบคู่ไปกับการสร้างคะแนนความนิยมได้อย่างสมดุลและลงตัวอย่างมาก จนถูกยกให้เป็นพรรคที่เข้าใกล้
คำว่าพรรคใหญ่เข้าไปทุกขณะหรือไม่? และหากเรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เห็นทีว่าพรรคภูมิใจไทยอาจเลื่อนสถานะสู่พรรคใหญ่ได้ในไม่ช้า แต่ใครจะได้รับผลกระทบจากการนี้บ้าง?
เรื่องราวของพรรคภูมิใจไทย ดูเหมือนจะไปได้สวย จนกระทั่งเมื่อเกิดปฏิบัติการสกัดดาวรุ่งกลางสภาฯ ได้ส่งผลให้ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ดูจะเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถเดินไปต่อได้ ซึ่งหากเป็นแผนการสกัดดาวรุ่งจากพรรคการเมืองขั้วตรงข้าม ก็คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่จนเป็นที่น่าจับตามองมากนัก เพราะอาจมองได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองต่างขั้วเหมือนกฎหมายอื่นทั่วไป แต่ที่แพ้รอบนี้ถูกมองว่าพวกกันเอง
พรรคประชาธิปัตย์บางส่วน และพรรคพลังประชารัฐบางส่วน ก็เป็นอีกหนึ่งแรงที่ส่งผลให้กัญชายังไปไม่ถึงฝั่งฝันซึ่งในเรื่องนี้ หลายสื่อหลายสำนักก็ต่างลงความเห็นกันว่านี่อาจเป็นอีกหนี่งสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของพรรคร่วมกำลังเดินทางเข้ามาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญหรือไม่? เพราะนายอนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ได้ออกมาโต้ภายหลังว่า เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้การเลือกตั้ง ก็จะได้ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกัน ซึ่งก็น่าสนใจว่าเมื่อประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของแม่ทัพพรรคภูมิใจไทยแล้ว ผลจะส่งผลอย่างไรต่อไป? จุดเปลี่ยนในครั้งนี้จะนำไปสู่จุดแตกหักหรือไม่?
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเหตุการณ์สกัดดาวรุ่งกลางสภาฯ ดังกล่าวดูแล้วไม่น่าที่จะนำไปสู่จุดแตกหักดังกล่าวได้ และที่มีปัญหาน่าจะเป็นภายในมุ้งของประชาธิปัตย์และภายในมุ้งของพลังประชารัฐมากว่า แต่ก็ใช่ว่าพรรคร่วมยังรักและสามัคคีกันอยู่ เพราะอันที่จริงรอยร้าวของพรรคร่วมก็เริ่มปรากฏให้เห็นมาสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะนอกจากพรรคภูมิใจไทยจะขยายพื้นที่ปักธงอิสานมากขึ้นแล้วรอบนี้พรรคภูมิใจไทยเริ่มมีการวางหมากวางเกมว่าจะร่วมวงล่าเก้าอี้ สส. ภาคใต้แบบเต็มสูบอีกด้วย
ก่อนหน้านี้สังเวียนภาคใต้เริ่มระอุขึ้นมาสักพัก จากการที่ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ลงพื้นที่จังหวัดสตูล และได้เปิดตัว
ที่ผู้สมัคร สส. เขต 2 และต่อมาก็ได้มีการประกาศตัวผู้สมัครที่จะทวงเก้าอี้คืนทั้งหมดในภาคใต้ที่เคยแพ้ในรอบที่แล้ว ซึ่งส่วนมากเป็นผู้สมัครหน้าใหม่พร้อมทั้งยังได้มีการตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่าจะต้องได้สส.ภาคใต้ 35-40 ที่นั่ง อันที่จริงก็เป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นตัวเต็งในสนามนี้มาโดยตลอด เรียกว่าเป็นเจ้าแห่งเวทีภาคใต้เลยก็ว่าได้ ก่อนจะแพ้ไปหลายเขตในรอบที่ผ่านมา
ขณะที่เวลาไล่เลี่ยกัน ที่จังหวัดกระบี่ พรรคภูมิใจไทยลงพื้นที่เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบทั้ง 3 เขตเลือกตั้ง ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม พรรคภูมิใจไทยเองก็ได้ทำการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเวทีจังหวัดสงขลา ทั้งหมด 7 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 9 เขต ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็ได้ตั้งเป้าว่าจะส่งลงให้ครบทุกเขต ส่วนจำนวนว่าที่ผู้สมัครอีก 2 เขตนั้นยังอยู่ในกระบวนการสรรหา แต่คาดว่าอีกไม่ช้าน่าจะได้รู้ตัวว่าที่ผู้สมัคร และแต่ละรายชื่อก็ต้องยอมรับว่าไม่ธรรมดาแบบที่ดูแล้วตั้งใจจะลงจริงจังซึ่งในรอบหน้าที่พื้นที่สงขลาจึงคาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่เดือดที่สุดอีกพื้นที่หนึ่ง
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตย์จำเป็นอย่างมากที่ต้องทวงคืนพื้นที่ภาคใต้มาให้ได้มากที่สุดเพื่อหนีการเป็นพรรคขนาดเล็ก ขณะที่พรรคภูมิใจไทยที่ตั้งใจจะแลนด์สไลด์ทั้งประเทศไม่เว้นภาคใต้ อันที่จริง ก็มีข่าวมาตลอดว่าอาจมี สส. ประชาธิปัตย์ย้ายไปภูมิใจไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามี สส. ภาคใต้อยู่เท่าไหร่? ก็คงจะต้องระวังสึนามิทางการเมืองด้วย ภาคใต้จึงน่าจับตาอย่างมากในรอบหน้า?
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเร็วหรือช้า สุดท้ายทุกพรรคก็ต้องทำการแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบให้ได้มากที่สุด เพราะเวลาไม่คอยท่า แม้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสุดท้ายแล้วกติกาและรูปแบบของการเลือกตั้งรอบนี้จะเป็นไปในรูปแบบใดกันแน่? รวมถึงช่วงเวลาการเลือกตั้งที่ยังคาดเดาไม่ได้ แต่การเตรียมความพร้อมสำหรับการออกศึกที่กำลังทำกันอยู่ตอนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสารเร่งให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคร่วมเช่นกัน ยิ่งนานไปอาจจะยิ่งมีมากขึ้น
พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ มีจุดร่วมจุดเดียวกันนั่นคือการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพรรคแวดล้อมรอบตัวพลเอกประยุทธ์ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาอาจมีปัญหาตกค้างในใจที่เหมือนจะแก้ไม่ได้ ไม่ว่าความขัดแย้งนั้นจะเกิดจากความคิด หรือผลประโยชน์ทางการเมืองอื่นๆ ก็ตาม แต่ในห้วงเวลาที่พลเอกประยุทธ์ต้องเว้นวรรคจากการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราวนี้อาจจะมีแนวทางออกของปัญหาแบบไม่คาดคิดก็ได้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บาดแผลนั้นสมานอย่างรวดเร็ว นั่นคือการที่กุนซือของพรรคร่วมรัฐบาลนั้นเป็นพลเอกประวิตร ซึ่งมีบารมีมากพอที่จะประคับประคองสถานการณ์ของพรรคร่วมต่อไปได้ และยิ่งในเวลานี้ที่พลเอกประวิตรทำหน้าที่รักษาการ
แทนพลเอกประยุทธ์ ยิ่งส่งผลให้พลเอกประวิตรถือไพ่ที่เหนือกว่า กระแสพรรคร่วมที่เหมือนจะแตก แม้อาจมีมุมที่ว่าอาจจะจริง แต่ดูแล้วยังไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่ที่สำคัญก็คือน่าสนใจว่าพลเอกประวิตรจะจัดการกับปัญหารอยบาดหมางนี้อย่างไร? ภายใต้ อำนาจรักษาการนายกรัฐมนตรีที่อยู่หัวโต๊ะครม.?
นอกจากเรื่องนโยบายเพื่อการหาเสียงรอบหน้าแล้ว สิ่งที่ทุกพรรคต้องการในช่วงท้ายสมัยแบบนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องอะไรอะไรที่ค้างกันไว้ ในครม.ตกลงกันไม่ได้หรือไม่ ที่ต่างคนต่างก็ตั้งเป้าหมายกันไว้ว่าต้องการที่จะให้โครงการต่างๆ นั้นได้รับการอนุมัติเสร็จสิ้นก่อนยุบสภาฯ หรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องจับสัญญาณพันธมิตรหักเหลี่ยมโหดกันให้ดี ไม่ใช่แค่พรรคร่วมรัฐบาลเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านเช่นกัน อย่างในรายของพรรคก้าวไกลที่ในตอนนี้แม้บทบาทของหัวหน้าพรรคอย่างนายพิธา จะถูกตั้งคำถามอย่างมากจากบรรดาสื่อมวลชนหลายสำนัก แต่ว่ากันตามตรงแล้วกระแสของพรรคก้าวไกลกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พรรคก้าวไกลเองก็ยังเป็นอีกหนึ่งพรรคที่ยังไว้ลาย และคงไว้ซึ่งสถานภาพแห่งพรรคม้ามืดที่พร้อมช่วงชิงตำแหน่งจากพรรคการเมืองเจ้าถิ่นในพื้นที่ต่างๆ อยู่ดี จริงอยู่ที่หัวหน้าพรรคอย่างพรรคก้าวไกลมักถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งจากสื่อมวลชน โดยเฉพาะเมื่อต้องไปเปรียบเทียบกับนายธนาธร แต่คำถามคือสิ่งที่ขับเคลื่อนพรรคก้าวไกลนั้นคืออะไรกันแน่? จะเป็นตัวหัวหน้าพรรค? หรืออุดมการณ์ของตัวพรรคกันแน่? เพราะหากเป็นคำตอบหลังก็มีโอกาสอยู่ไม่น้อยที่ในช่วงสองปีก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่ต่างจังหวัด พรรคก้าวไกลไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักเมื่อเทียบกับเพื่อไทย แต่ในปีนี้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งท้องถิ่นกทม. แม้ผู้ว่าฯจะแพ้แต่สก.ของก้าวไกลมีคะแนนที่น่าสนใจมากและเอาชนะเพื่อไทยไปได้หลายเขต การก้าวขึ้นของก้าวไกลในห้วงเวลาใกล้เลือกตั้งเช่นนี้ คนที่น่าจะได้รับผลกระทบจึงอาจจะเป็นเพื่อไทยมากกว่าพรรคฝั่งอุดมการณ์ตรงกันข้าม และคำสบประมาทที่บอกว่ารอบที่แล้วได้ไปเพราะแทนไทยรักษาชาติก็จะถูกลบไปในรอบนี้ เอาเข้าจริงเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยรู้ปัจจัยเสียงนี้ดีจึงต้องเพิ่มแม่ทัพเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นบุตรสาวอดีตนายกฯ แต่ก็นับเป็นแต้มเดิมพันที่วัดไม่น้อยกับการเทหมดหน้าตักแบบนี้
คงต้องรอดูต่อไปว่าศึกร่วมรั้วของทั้งสองฟากฝั่งจะจบลงอย่างไร? แต่ดูแล้วกับการเมืองยุคใหม่แบบสุดขั้วความคิดเช่นนี้ ศึกในฟากเดียวกันอาจจะหนักกว่าศึกสองฟากก็ได้
งานนี้บอกเลยว่าศึกเริ่มตั้งแต่ระฆังยังไม่ลั่น
“ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คล้ายเป็นน้ำป่า ยามเมื่อทะลักลงมา จะไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมบังคับได้ กระทั่งตัวเองก็ไม่อาจ ดังนั้น มักใหญ่ใฝ่สูง มิเพียงทำลายผู้อื่นเท่านั้น ยังทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน และมักจะทำลายตัวเองก่อนที่ได้ทำลายผู้อื่นเสมอมา แต่ทว่า หากมนุษย์เราไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยสิ้นเชิง ชีวิตไยมิใช่ชืดชาไร้รสชาติยิ่ง นี่ไยมิใช่ เป็นโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษย์เรา”
โกวเล้ง จาก เหยี่ยวเดือนเก้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี