ก็เป็นอันว่าผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการวินิจฉัยเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาตามที่พรรคฝ่ายค้านได้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยว่าได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ โดยเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมานี้ องค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญ 9 ท่านก็ได้ออกนั่งบัลลังก์และอ่านคำวินิจฉัยโดยการตีความตามรัฐธรรมนูญ ว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 โดยคำนึงถึงที่มาของนายกรัฐมนตรี ว่ามาจากผู้ที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม และได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมือง ซึ่งมีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร และได้ผ่านการลงมติเห็นชอบโดยเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560
โดยให้นับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 ซึ่งหมายความว่านายกรัฐมนตรีได้ดำรงตำแหน่งมาแล้วยังไม่ครบ 8 ปี ความเป็นนายกรัฐมนตรีจึงยังไม่สิ้นสุดจึงยังจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนครบวาระ โดยการวินิจฉัยนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการมีมลทินตามที่บางสำนักได้ใช้คำนี้ ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เหมือนกับว่านายกรัฐมนตรีได้มีการกระทำผิดไว้
ก็ถือว่าเป็นการปลดล็อกการบริหารประเทศซึ่งติดกับมาเป็นระยะเวลา 38 วัน ทั้งนี้ ในช่วง 38 วันดังกล่าวผู้ที่รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยความเข้มแข็ง และได้รับความชื่นชอบจากประชาชนเป็นอย่างดี ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เริ่มปฏิบัติงานต่อในฐานะนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้แล้ว โดยยังคงประกาศให้เห็นความมุ่งมั่น ในการที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศในช่วงระยะเวลาที่เหลือก่อนที่จะครบวาระอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกันกับโรคระบาดร้ายแรงจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ในช่วงที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยโดยรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เรียกกันว่า ศบค. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง จนขณะนี้ประเทศไทยได้ผ่านพ้นจุดวิกฤตของโรคระบาดร้ายแรงดังกล่าวแล้ว และได้มีการปรับเปลี่ยนสถานะของโรคนี้เป็นโรคระบาดที่ต้องเฝ้าระวังนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และคงจะเปลี่ยนเป็นโรคประจำถิ่นหลังจากนี้อีกไม่นาน เมื่อสถิติตัวเลขต่างๆ ของโรคนี้เป็นไปตามเกณฑ์สากลขององค์การอนามัยโลก ซึ่งขณะนี้ทำให้โรคโควิด-19 ได้รับการปลดล็อกเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
การดำเนินวิถีชีวิตของประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จะเข้าสู่ภาวะที่เกือบจะเรียกว่าเป็นปกติ โดยสามารถจะละเว้นจากการใส่หน้ากากอนามัยได้ตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น เช่น ในการใช้ชีวิตประจำวันหากผู้ใดไม่มีอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับโรคของระบบทางเดินหายใจ เช่น มีอาการคล้ายเป็นหวัด มีอาการไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกไหล มีไข้ ต่างๆ เหล่านี้ ก็น่าจะไปในสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอีกต่อไป แต่ก็ยังมีข้อแนะนำว่าหากจะต้องอยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนจำนวนมาก การใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเอง ก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่
สำหรับผู้ที่จะไปรับบริการในโรงพยาบาลนั้น เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และอาจจะมีส่วนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคของระบบทางเดินลมหายใจ ซึ่งจะติดต่อไปยังผู้อื่นได้ง่าย จึงมีข้อแนะนำว่าการไปใช้บริการในฐานะผู้ป่วยนอกของใครก็ตามรวมทั้งผู้ที่ติดตาม ควรจะต้องใส่หน้ากากอนามัยให้มิดชิดเช่นเดิม เพื่อความปลอดภัยของตัวเองทั้งนี้เป็นการแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรับผิดชอบในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยต่างๆ ด้วย ทั้งนี้ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ทุกโรงพยาบาลได้ออกระเบียบที่ห้ามเยี่ยมผู้ป่วยในโดยเด็ดขาด แต่ขณะนี้ก็ได้เริ่มผ่อนปรนแล้ว สำหรับผู้ที่เฝ้าไข้นั้น หากไม่มีอาการผิดปกติอาจจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ แต่หากมีอาการที่น่าสงสัยเมื่อใดจะต้องได้รับการตรวจ ATK โดยทันที และหากพบว่าน่าจะติดเชื้อโควิด-19 ก็จะต้องเปลี่ยนตัวผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้าไข้โดยทันที
ในส่วนของประชาชนทั่วไปหากมีอาการผิดปกติควรจะต้องตรวจ ATK จะโดยการตรวจเองหรือเข้ารับการตรวจในโรงพยาบาลตามสิทธิพื้นฐานของระบบบริการสุขภาพที่สังกัดอยู่ก็ตาม หากพบว่าผลการตรวจบ่งชี้ว่าอาจจะติดเชื้อนั้นและมีอาการเพียงเล็กน้อย สามารถที่จะรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือโดยกักตัวอยู่กับบ้าน จนเมื่ออาการเริ่มดีขึ้นซึ่งมักจะเกิดขึ้นในประมาณ 3-4 วัน ก็สามารถจะกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ โดยยังคงยึดหลัก DMH อันได้แก่ การรักษาระยะห่างจากคนอื่น การสวมหน้ากากอนามัยอย่างมิดชิด และการล้างมืออย่างสม่ำเสมอตามที่เคยปฏิบัติกันมาจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแล้ว จนกว่าจะครบระยะเวลารวม 10 วันนับตั้งแต่เริ่มมีอาการ ก็สามารถที่จะดำเนินวิถีชีวิตต่อไปตามปกติได้
สำหรับผู้ที่ป่วยที่จะได้รับการพิจารณาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น จะต้องไปรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิพื้นฐาน ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่นเป็นผู้สูงอายุ เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เป็นผู้ที่เป็นโรคที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีไข้เกินกว่า 39 องศาติดต่อกันอย่างน้อย 2 วัน หรือมีระดับของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโรงพยาบาลตามสิทธิ์จะพิจารณารับไว้เป็นผู้ป่วยใน
ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น เป็นผู้ที่มีภาวะเสี่ยงดังที่กล่าวไว้ มีไข้สูงต่อเนื่อง เกิดภาวะหายใจลำบาก ซึ่งอาจจะเข้าข่ายผู้ป่วยรุนแรงวิกฤตสีแดง สามารถจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งใดก็ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้จะต้องผ่านการประเมินตามเกณฑ์ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินเช่นเดิม เพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งเรื่องระดับความรุนแรงของโรค ที่อาจทำให้เกิดประเด็นว่าเป็นการเลือกรับบริการ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นผู้ป่วยจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาที่เกิดขึ้นเอง
ถึงแม้ว่าโรคโควิด-19 จะเป็นโรคที่ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว และประชาชนทั่วไปก็มีความรู้ในการที่จะดูแลป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจนั้นยังมีอยู่อีกหลายโรค โดยโรคที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีคือโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีการระบาดในช่วงฤดูฝน จึงขอให้ประชาชนทั่วไปหากมีโอกาส ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งหากป่วยเป็นโรคนี้อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งในส่วนของผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนให้กลุ่มดังกล่าวเข้ารับการฉีดได้ในโรงพยาบาลเกือบจะทุกแห่งที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมที่อายุมากกว่า 50 ปี ก็สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ในโรงพยาบาลที่สังกัดอยู่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ในส่วนของเด็กนั้น โรคระบาดที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจและอาจเป็นอันตรายจนเสียชีวิตได้เช่นกันโดยเฉพาะในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ คือโรคที่เรียกกันว่า RSV อันเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน และติดต่อกันได้อย่างง่าย โดยการติดต่อนั้นอาจเกิดขึ้นในสถานเลี้ยงเด็กหรือจากโรงเรียน โดยการติดต่อของโรคจะผ่านไปทางสารคัดหลั่งหรือการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน โดยสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โรคนี้เดิมพบมากในเด็ก แต่ปัจจุบันก็พบได้ในผู้ใหญ่ด้วย และหากเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุที่มากกว่า 65 ปี ได้จะมีอาการรุนแรง อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายกับเป็นไข้หวัด มีไข้ ไอ น้ำมูก กรณีที่อาการรุนแรงจะมีอาการหายใจเร็ว หายใจหอบ หายใจมีเสียงหวีด เบื่ออาหาร เซื่องซึม และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ปอดอักเสบอย่างรุนแรงติดตามมาจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนใดๆ ที่ใช้ในการป้องกันโรคนี้ได้ ฉะนั้นหากมีอาการผิดปกติตามที่กล่าวมาแล้ว ควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสวมใส่หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างจากผู้อื่น คล้ายกับการป้องกันตัวเองจากโรคโควิด-19 หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
การติดเชื้อจากโรคระบาดยังคงเป็นภัยที่อาจจะรุนแรงต่อสุขภาพมากพอสมควร การป้องกันโรคจึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ แต่การติดเชื้อร้ายของประเทศ คือเชื้อของการขาดความรักและสามัคคีนั้น เป็นอันตรายยิ่งกว่ามากมายนัก เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกรัฐบาลพยายามไม่ให้เกิดขึ้น แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่ง่ายนักในปัจจุบันนี้ เพราะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก การหลงผิดในคำว่าประชาธิปไตยของคนบางกลุ่มที่คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ โดยอ้างว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน และไม่ยอมรับกฎหมายของบ้านเมือง ตลอดจนความพยายามในการไขว่คว้าหาอำนาจของคนบางกลุ่ม ที่ต้องการอำนาจไว้เพื่อหวังผลบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งในที่สุดแล้วก็คือผลประโยชน์สูงสุดที่ตัวเองหรือกลุ่มจะได้รับ ซึ่งรวมไปถึงการโกงกิน นับเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายยิ่งต่อประเทศชาติผู้เขียนเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราช เทพที่ปกปักรักษาประเทศไทยของเรานั้น ได้เฝ้ามองพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่ และท่านคงไม่ยอมให้ใครผู้ใดหรือกลุ่มใดกระทำการใดๆ อันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและความเป็นปกติสุขของประชาชนชาวไทยอย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี