l ความจริงของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ยังไม่มีออกมาอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก
-ไม่มีการ “บันทึกและสรุปอย่างเป็นทางการที่ผ่านการระดมความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมและมีบทบาทในเหตุการณ์”
-มีแต่ “ความเห็นของผู้นำบางคนบางส่วน ที่ร่วมในเหตุการณ์ที่เล่าถึงประสบการณ์ของตนในจุดที่ตนยืนอยู่”
-ที่น่าแปลกใจ ไม่มีหรือไม่มีการเผยแพร่ “ข้อสรุปของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ของฝ่ายรัฐและรัฐบาล”
-ฯลฯ
l ความจริง มีนักวิชาการบางคนบางส่วน และบางหน่วยงานสถาบัน
ได้มีการวิเคราะห์ ทำงานวิจัย “เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทย” ในแต่ละเหตุการณ์ฯ แต่ไปได้ไม่ไกลนัก เพราะ
๑.ติดกรอบความคิดและรูปแบบเดิม ที่ทำตามกันมา
๒.ข้อมูลด้านเดียว และเน้นเฉพาะบางช่วงบางตอนของเหตุการณ์
๓.กลัวความขัดแย้ง โดยไม่กล้านำเสนอความจริง ในบางส่วนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน
๔.ขาดการนำเสนอในกรอบคิดใหม่ ที่เอาความจริง และผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนเป็นศูนย์กลาง
๕.ขาดนักคิดทางทฤษฎีและวิชาการ ที่มีศักยภาพ
๖.ขาดการวิเคราะห์หาและสรุปบทเรียนอย่างจริงจังว่าทำไม “ประเทศไทยเรา จึงไม่มีการปฏิรูป ไม่มีทางออก หลงติดในถ้ำแห่งอคติ ไร้สติปัญญาความจริง” ในขณะที่บางประเทศสามารถก้าวพ้น อุปสรรคทางความคิด วงจรอุบาทว์ ไปได้และสามารถก้าวไปถึงประตูแห่งความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่นำพาสังคมและประชาชนไปสู่คุณภาพใหม่ และพัฒนาเจริญก้าวหน้าได้
๗. ฯลฯ
l และไม่ค่อยมีผู้นำและนักวิชาการ ให้ความสนใจ ในการแสวงหาความจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทยเหตุผลคือ “ยาก” และ“อาจจะเกิดความขัดแย้งกัน” ซึ่งก็เป็นความจริง
แต่ “ควรพิจารณากัน อย่างรอบคอบ รอบด้าน ด้วยความคิด สติปัญญา ความจริง” ว่า “อย่างใดจะเกิดประโยชน์ คุณค่า และความหมาย” ต่อ “ชาติบ้านเมืองและประเทศมากกว่ากัน”
หวังว่า “จะมีผู้นำ นักทฤษฎี และนักวิชาการฯ” ผู้กล้าหาญเสียสละฯ ออกมาทำหน้าที่นี้ร่วมกัน
l จึงเป็นหน้าที่และบทบาทของผู้นำฝ่ายต่างๆ และฝ่ายวิชาการฯ ที่รักชาติบ้านเมืองจริงที่ควรจักต้องทำหน้าที่นี้ หากเรา
-“มีความรักความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะก้าวและพัฒนาประชาธิปไตยไทยไปให้ถึงฝั่งประชาธิปไตยที่แท้จริง” เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทย
-“ ต้องการทราบความเป็นจริงของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ของสังคมไทย” ว่า “มีปัจจัย และเงื่อนไขอะไร อย่างไร ในการก่อเกิดเหตุการณ์นี้ และการที่เหตุการณ์นี้ จบลงได้อย่างดี เกิดผลดีต่อประชาชนและบ้านเมืองในระดับหนึ่ง” เราควรมาร่วมกัน “คิดและทำ” ความจริงให้ปรากฏขึ้นกันเถิด!
l การแสวงหา “ความจริง” ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยต้องมีกรอบและหลักคิดที่กว้างไกล กล่าวคือ :
1.สภาพของสังคมไทย ในช่วงการก่อเกิดเหตุการณ์ เป็นอย่างไร?
1.1 ปัจจัยภายใน
(๑) มีเหตุปัจจัยของสภาพสังคมและสภาพแวดล้อม อย่างไร?
(๒) ความขัดแย้งของสังคมหลัก และรอง ในช่วงนั้น
(๓) ปัญหาหลักและรอง ที่สะสมต่อเนื่องมายาวนาน
(๔) จุดเริ่มต้น หรือจุดปะทุที่พัฒนาต่อไปได้ มีอะไร? อย่างไร?
(๕) บทบาทและกำลังของแต่ละฝ่าย ใครเป็นหลัก เป็นรอง
(๖) ประชาชนและหน่วยงานสถาบันหลักในสังคม คิดอย่างไร? หนุนหรือคัดค้านฝ่ายใด
1.2 ปัจจัยภายนอก
(๑) สถานการณ์ภายนอกที่สำคัญและมีบทบาท ที่ส่งผลสะเทือนใหญ่ต่อสังคมไทย
(๒) มีการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจฝ่ายใด อย่างไร ทั้งทางตรงและทางอ้อม
2.ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทยเป็นอย่างไร?
(๑) มีการพัฒนา และความเป็นมาอย่างไร?
(๒) โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนหน้า การเกิดสถานการณ์ในช่วงนั้น
3.สถานการณ์หลังเหตุการณ์ ที่ส่งต่อมาจากเหตุการณ์ในนั้น และมีการส่งต่อในเรื่องใด ปัจจัยใด และกระบวนการความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยมาถึงปัจจุบัน
4.บทบาทของสถาบันและผู้นำที่มีบทบาทหลักและรองในช่วงเกิดเหตุการณ์
(๑) ภาคประชาชน
(๒) นักการเมือง
(๓) ภาคธุรกิจ
(๔) กองทัพ และข้าราชการ
(๕) สถาบันหลักของสังคม
(๖) ภาคสื่อ และสังคมออนไลน์
(๗) สถาบันสงฆ์
(ส่วนนี้ ยังมีบทบาทน้อย หรือไม่มี แต่จากการเป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องทางจิตใจของผู้คนมากมาย จึงขอนำ “สถาบันสงฆ์” มานำเสนอให้คิดและพิจารณาว่า ต่อไปสถาบันนี้ ควรจะมีส่วนร่วมอย่างไร และในด้านใดบ้าง)
l หลังจากวิเคราะห์และได้ตอบ คำถามใหญ่ข้างต้นแล้วก็จะนำมาถึงประเด็นสำคัญ คือ
1. ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
2. สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง
3. ผลของการเปลี่ยนแปลง
l ขอนำเข้าสู่ “การเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย
1.ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
1.1 ผู้นำหลัก ในการก่อกระแสฯ ของการเปลี่ยนแปลงคือ ขบวนของนิสิตนักศึกษา และประชาชน
“ความเป็นอิสระ บริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตนฯ” ของนิสิตนักศึกษาเป็นจุดหลักสำคัญ ในการได้รับการขานรับและเข้าร่วมของประชาชน
-จุดเริ่มต้น คือ “กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” ที่ก่อเกิดจากการรวมตัวกันของผู้นำนักศึกษาและประชาชนในหลากหลายกลุ่มที่มีพลังและบทบาทฯ ในสังคมในช่วงนั้น
รูปธรรม คือ การลงชื่อของผู้นำที่หลากหลายในสังคมไทย ๑๐๐ แรกในการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้มีรัฐธรรมนูญ คือ “การคืนรัฐธรรมนูญ ให้กับสังคมและประชาชน”
-ในขบวนของนักเรียน นิสิตนักศึกษา มีพลังอย่างน้อยอยู่ ๓ กลุ่ม
หนึ่ง กลุ่มมีอำนาจอย่างเป็นทางการที่สามารถเรียกประชุมให้นิสิตนักศึกษาในสถาบันต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ให้มาร่วมในเหตุการณ์ (เพราะเป็นนายกสโมสร อุปนายก ประธานเชียร์ และหัวหน้าคณะฯของมหาวิทยาลัยนั้นๆ)
คือ “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” (ศนท.) ที่เป็นตัวแทนของ นายกสโมสร อุปนายกฯ ของทุกมหาวิทยาลัย
สอง กลุ่มที่เป็นพลังทางความคิด และมีความสันทัดทางการเมือง และมีบทบาทการเคลื่อนไหวคือ “กลุ่มอิสระของมหาวิทยาลัยต่างๆ” แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่เมื่อมีการจุดการประท้วงในมหาวิทยาลัย ทั้งในธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีบทบาทในการนำพา ชักชวนให้นิสิตนักศึกษาเข้ามาฯ
การประสาน และร่วมมือกันของกลุ่มที่หนึ่ง และสอง ทำให้เกิดพลัง (แต่ขณะเดียวกัน ก่อเกิดความขัดแย้งทางความคิด ในช่วงปลาย
ของเหตุการณ์ฯ)
สาม กลุ่มผู้นำนักเรียนอาชีวะ จากหลายสถาบันที่เข้าร่วม มีบทบาทในด้านการใช้กำลังเคลื่อนไหว ทั้งคุ้มครองปกป้องฝ่ายนักศึกษาประชาชนและการต่อกรกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองฯ โดยมีการใช้กำลังส่วนนี้ ของผู้นำนิสิตนักศึกษาบางคนบางส่วน ในช่วงของการเดินขบวนฯออกไปจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปตามถนนราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ลานพระบรมรูปฯ และบริเวณหน้าสวนจิตรฯ
l ในส่วนของประชาชน ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์ฯ กับผู้นำนักเรียนนิสิตนักศึกษา
๑.ในส่วนของผู้นำประชาชน
-ส่วนที่เรียกร้อง ให้คืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน นักวิชาการนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำสังคมในระดับต่างๆ และสื่อฯ
-นักการเมืองบางส่วน ที่มีการเชื่อมประสานกับ “ผู้นำที่มีอำนาจและบทบาทในอีกฝ่ายหนึ่งที่มีความขัดแย้ง และเห็นต่างจาก” ผู้นำรัฐบาลในขณะนั้น
๒.ในส่วนของประชาชนส่วนใหญ่ที่หลากหลายและมากมาย ที่เข้าร่วมฯ
-เกิดจากการสะสม “ความทุกข์ยากความเดือดร้อน ในด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่” ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประชาชนที่เข้าร่วม
-เกิดจากการต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ที่ใช้อำนาจเผด็จการ ประเทศไทยได้อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารมานานเกือบ 15 ปี ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โยงใยมาถึงยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ประกอบกับข่าวการฉ้อราษฎร์บังหลวงหลายอย่างในรัฐบาล รวมทั้งรัฐประหารตัวเองใน วันที่ 17 พฤศจิกายน 2514
-ความไม่พอใจต่อรัฐบาล ในการใช้อำนาจมิชอบ ในหลายๆ กรณี
กรณีทุ่งใหญ่นเรศวร (ที่นายทหารและตำรวจฯ ใช้เฮลิคอปเตอร์ไปล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ฯ) และเป็นข่าวใหญ่ จากการจุดไฟของสื่อ โดยเฉพาะอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช (คอลัมน์หน้า ๕ สยามรัฐ) การชุมนุมประท้วงของนักศึกษาฯ กรณี “การใช้อำนาจมิชอบ ออกกฎหมายโบว์ดำ 299” (การแทรกแซงอำนาจของรัฐบาล ต่อศาลฯ) และที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในการเรียกร้อง ให้คืนสภาพ 9 นักศึกษาแรมคำแหง กรณีคัดค้านทุ่งใหญ่ฯ
l 1.2 คงจะต้องกล่าวถึง กลุ่มและบุคคลที่มีอำนาจในรัฐบาลเก่า
จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจร (ลูกชายและลูกเขยฯ)
จอมพล ถนอม กิตติขจร : เป็นนายทหารที่ดีคนหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับจากกองทัพและประชาชน
แต่เนื่องจากระบบการสืบทอดอำนาจของคนใกล้ชิด ทำให้การขึ้นมาดำรงตำแหน่งของฝ่ายภาคส่วนไม่สามารถขึ้นมาได้ และเกิดความอึดอัด ไม่สบายใจ มายาวนานรวมทั้ง การก่อการรัฐประหารตนเอง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 การต้องเกษียณอายุราชการเนื่องจากอายุครบ 60 ปี แต่กลับต่ออายุราชการตนเองในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกไป
พลเอกประภาส จารุเสถียร บุคคลสำคัญในรัฐบาล ที่มิได้รับการยอมรับเหมือนจอมพลถนอม กลับได้รับยศจอมพล และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ฯลฯ และบทบาทที่มากอำนาจของ พันเอกณรงค์ กิตติขจร ในหลายกรณี
1.3 ผู้นำที่มีบทบาท ในการกดดัน ให้ “รัฐบาลเก่าที่มีอำนาจ” ยอมที่จะบินออกไปต่างประเทศ
๑.พลเอกกฤษณ์ สีวะรา จากการยอมปรับอำนาจทางการทหาร เพื่อลดความกดดันในกองทัพที่ จอมพลถนอม แต่งตั้งให้ พลเอกกฤษณ์ สีวะราขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖ทำให้มีอำนาจโดยตรงต่อกองทัพบก
๒.พลเอกกฤษณ์ มีมิตรที่สนิทใกล้ชิด ที่เคยมีอำนาจในกองทัพและตำรวจ เช่น พลเอกประเสริฐ รุจิระวงศ์ พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ซึ่ง พลเอกประเสริฐ ที่นักการเมืองที่เชื่อมโยงกันอยู่จำนวนหนึ่ง เช่นนายอนันต์ ฉายแสง ไขแสง สุกใส ฯลฯ (และนายอุทัย พิมพ์ใจชนที่มีความเชื่อมโยงกัน) รวมทั้ง พลโทวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ฯลฯ
๓.พลโทวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ เริ่มรับราชการในกองทัพบก และได้รับตำแหน่งที่สำคัญ คือ เป็นผู้บังคับการกองผสมที่ 333 ที่ทำการรบแบบไม่เปิดเผยในประเทศลาว กุมกำลังทหารพรานจำนวนร่วม ๒ หมื่นคน (ซึ่งมีการยอมรับกันว่า มีการสนับสนุนจากอเมริกา) จนได้รับฉายาว่า หัวหน้าเทพ หรือ เทพ 333 มีนายทหารรุ่นน้องหลายคน ที่กลับมาประจำในกองทัพบกและมีบทบาทคุมกำลังบางพื้นที่
l ในช่วงของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่เกิดการจับกุม ๑๓ กบฏ เรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนมาถึงเหตุการณ์ วันที่ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และหลังจากนั้น มีการเคลื่อนไหวในการกุมกำลังทางการทหาร ที่มีความขัดแย้งกัน ระหว่าง
-จอมพลถนอม ประภาส ณรงค์ และ
-พลเอกกฤษณ์ พลเอกประเสริฐ พลอากาศเอกทวี จุลทรัพย์ และพลโทวิทูรย์ ยะสวัสดิ์
จุดที่สำคัญจุดหนึ่ง คือ ที่กองบัญชาการสวนรื่นฯ ที่ฝ่ายถนอมประภาส ณรงค์ กุมอยู่ในช่วงแรก แต่ต่อมาถูกฝ่าย พลเอกกฤษณ์ สีวะราเข้ามาควบคุมแทน
แต่กำลังของฝ่าย จอมพลถนอม ประภาส ณรงค์ฯ ก็ยังมีกำลังบางส่วนของกองทัพที่ขึ้นต่อฯเนื่องจาก จอมพลถนอม ประภาส เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบกและเป็นนายกรัฐมนตรี
ฉะนั้น จึงมีความสุ่มเสี่ยง ต่อการปะทะกัน ทางการทหาร ระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่ไม่น้อย อันจะก่อให้เกิดความสูญเสียของประชาชนและประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี