เรียกได้อย่างเต็มปากว่าพลเอกประยุทธ์สามารถฝ่าฟันอุปสรรค ประเด็นของนายกฯ 8 ปี มาได้แล้ว และจากนี้สถานีต่อไปของพลเอกประยุทธ์ก็คงจะมีจุดหมายที่ชานชาลาการเลือกตั้ง หลังเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคสุดหินซึ่งเป็นด่านสุดท้ายมาได้ ฟ้าหลังฝนจะต้องสวยงามเสมอ แต่นั่นก็อาจไม่เสมอไปหรือไม่?
เพราะก่อนจะถึงวันเลือกตั้งพลเอกประยุทธ์ยังมีภารกิจสำคัญคือการประชุมเอเปกที่กำลังจะจัดขึ้นอีกในไม่ช้า การประชุมสภาสมัยสุดท้ายซึ่งมีภารกิจหลักคือการออกกฎหมายลูกเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการที่ต้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจหลังโควิดและวิกฤตการณ์การเมืองระหว่างประเทศในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามง่ายๆ
แต่ที่แน่ๆ ก่อนจะถึงภารกิจที่พูดถึงทั้งหมดนั้น ยังมีภารกิจนอกกำหนดการที่โผล่มาแบบไม่ตั้งใจ อย่างภัยธรรมชาติ ที่ดูทีแรกเหมือนจะพูดจริงพูดเล่นเรื่องน้ำท่วมที่ตอนนี้ดูจะขำไม่ออกเข้าจริงๆ เพราะในตอนนี้แม้พายุฝนทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์จะดูสงบลง แต่พายุฝนฟ้าคะนองจริงๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจจะส่งผลทางการเมืองต่อพลเอกประยุทธ์ได้ทั้งบวกและลบขึ้นกับฝีมือรัฐบาลและผู้ว่าฯกทม.ที่เรียกได้ว่ารอดก็รอดด้วยกัน ดับก็ดับด้วยกัน หากแต่การเมืองก็อาจทำให้มีผลต่างกันได้
ซึ่งการบริหารจัดการด้านน้ำท่วมนั้น ถือได้ว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่สำคัญและท้าทายรัฐบาลอีกครั้ง หลังจากเมื่อสิบปีที่แล้วเมื่อปี 2554 เพราะในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ต่างก็พบกับปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ทั้งแบบปกติทุกปีและมากกว่าทุกปีในหลายพื้นที่ น้ำจะท่วมขังหรือไม่สิ่งสำคัญอยู่ที่การบริหารจัดการน้ำในแต่ละช่วงน้ำตลอดเส้นเจ้าพระยาและในการบริหารจัดการภายในกทม. แต่ปัจจัยที่มีเข้ามาเพิ่มคือเรื่องการเมือง เพราะในอีกไม่กี่เดือนจะมีการเลือกตั้งเพราะไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรยังไงก็มีผลต่อการเมืองในพื้นที่จริง และพื้นที่ข่าว รวมถึงตอนนี้เข้าสู่ 180 วันก่อนเลือกตั้ง ที่ไม่ใช่ใครจะเข้าไปทำกิจกรรมอะไรกับประชาชนแบบใดก็ได้ แต่ไม่เข้าก็ไม่ได้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นทั้งโอกาสและวิกฤตของทุกฝ่ายบนกระดานการเมือง แต่ที่มีมากหน่อยคือรัฐบาลและผู้ว่าฯกทม.
แต่เฉพาะฝ่ายรัฐบาล จริงๆ ยังมีปัญหาอีกอย่างที่เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจจากโควิด ที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศซบเซามาตลอดสามปี และพึ่งถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตพลังงานโลก ที่ส่งผลต่อค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ตอนนี้พึ่งเปิดประเทศ ประชาชนพึ่งจะได้ลืมตาอ้าปาก หากต้องถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตน้ำท่วมที่ยาวนานแบบปี 2554 สถานการณ์การเมืองจะพลิกทันที
แต่ถ้าโชคดีผ่านไปได้ จนถึงกลางเดือนหน้า ก็จะมีการประชุมเอเปก ซึ่งที่ใครๆ คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เต็มที่ก็มีผู้นำบางคนไม่มาให้พอแซวนายกฯ ได้บ้าง แต่ในความเป็นจริงอาจไม่ได้แค่นั้น อย่าลืมว่าตอนนี้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่ก่อตัวมาหลายปีได้ถูกจุดขึ้นไปแล้วที่ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเอง กำลังเล่นบทบาทสำคัญในการบีบคั้นประเทศต่างๆ ให้ต้องเลือกข้าง แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องในภูมิภาคเลย นั่นเพราะในความเป็นจริงความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่ได้ก่อตัวเพียงแค่ในยุโรปแต่ต้น ประเด็นความร้อนแรงในทะเลจีนใต้ก็คุกรุ่นต่อเนื่องยิ่งในระยะสองเดือนมานี้ การประชุมเอเปกที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยวันที่ 18 - 19 พฤศจิกายนนี้อาจจะมีบางฝ่ายใช้เวทีระดับโลกนี้ดำเนินเกมการเมืองระหว่างประเทศบางอย่าง ซึ่งไทยในฐานะเจ้าภาพจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกลากเข้าไปในเกมการเมืองระหว่างประเทศ
แต่ที่ช้ำกว่านั้นก็คือ การเมืองในประเทศโดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งอาจทำอะไรแบบไม่คาดคิดหรือไม่ ประสบการณ์ในอดีตก็มีให้เห็นมาแล้ว เมื่อครั้งการล้มประชุมอาเซียนของกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อปี 2552 จนเหล่าผู้นำต้องบินหนีตายออกนอกประเทศ สร้างความเสียหายและเสียชื่อกับประเทศอย่างมาก ก็ไม่อาจจจะวางใจประเด็นเหล่านี้ได้อีกเช่นกัน
แต่หากผ่านได้ทั้งหมด เส้นทางพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลจะเป็นอย่างไรต่อไป?
แม้ว่าพลเอกประยุทธ์จะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ในตอนนี้ และหากพูดตามตรง ดูเหมือนช่วงเวลานี้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่สวยงามและเป็นใจให้กับพลเอกประยุทธ์สักเท่าไหร่นักแต่คำถามที่น่าสนใจที่สุดคือ หลังจากนี้ไปจนถึงในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นพลเอกประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐจะมีทางเลือกเส้นทางใดได้บ้าง?
จากกรณีที่คำตัดสินจากกระบวนการยุติธรรมนั้น ตัดสินให้ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 อันเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ส่งผลให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสามารถที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ ทั้งในตอนนี้ รวมถึงในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาใดตามมาภายหลัง
เมื่อระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ได้ถูกระบุวันสิ้นสุดไว้แล้ว และเมื่อวันลงจากเก้าอี้ของพลเอกประยุทธ์ได้ถูกเขียนไว้ตั้งแต่ศึกยังไม่ทันได้เริ่ม ก็น่าสนใจว่า หากพลเอกประยุทธ์ จะยังคงมีความประสงค์ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็เท่ากับว่าสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกแค่เพียงสองปี หรือครึ่งวาระเพียงเท่านั้น แต่หลังจากนั้น ใครเล่าที่อาจต้องมาสานต่องานของพลเอกประยุทธ์ในกรณีที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลหน้าอีกสองปี และกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีนั้นจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดกันแน่? หรือในการเสนอชื่อแคนดิเดตในครั้งหน้าเราอาจได้เห็นการเสนอชื่อแคนดิเดตร่วมกับพลเอกประยุทธ์อีกหนึ่งรายชื่อก็เป็นได้หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นหวยจะไปออกที่ใครกันแน่?แล้วแบบนั้นประชาชนจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเตรียมใจมีสองนายกฯ ในรอบหน้า?
ก็คงต้องรอดูต่อไปผู้ที่เสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะต้องเสนอชื่อผู้สานงานต่ออีกท่านเผื่อไว้อย่างแน่นอน แต่หากพรรคที่เคยเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลที่แล้ว กลับไม่เลือกพลเอกประยุทธ์อีกคำรบ ก็คงเป็นที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย
เอาเข้าจริงแม้พลเอกประยุทธ์จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาอย่างยาวนาน จนอาจมีประชาชนบางกลุ่มบางส่วนที่อาจต้องการเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่กระนั้นก็ต้องอย่าลืมว่าหากหัวเรือมีการเปลี่ยนแปลง มีหรือจะไม่ส่งผลไปถึงท้องเรือ หางเสือ และพลเรือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมส่งผลที่ยิ่งใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วพรรคพลังประชารัฐ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะยังคงเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ก็น่าสนใจว่ารายชื่ออีกหนึ่งรายชื่อ ที่อาจถูกเสนอมาร่วมด้วยนั้นจะเป็นรายชื่อของใครกันแน่ แต่ก็แน่นอนว่าผู้ที่จะถูกเสนอชื่อมานั้น ต้องเปี่ยมด้วยบารมี สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างเด่นชัดและมีภาวะผู้นำสูง เพราะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกับพลเอกประยุทธ์ที่มีสิ่งนี้อยู่มาก อีกทั้งผู้นั้นก็ควรที่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถฟื้นคะแนนเสียงโดยรวมแก่พรรคมากที่สุด
ยิ่งชวนให้คิดว่า แม้ชื่อของพลเอกประยุทธ์น่าจะเป็นชื่อลำดับแรกๆ ที่อาจได้รับการเสนอจากพรรคพลังประชารัฐก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีตัวเลือกเพียงแค่ตัวเลือกเดียวเพียงเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่า พลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้อยู่ในสถานภาพของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่อย่างใด ครั้นหากพลเอกประยุทธ์ได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย บารมีในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ดูจะไม่ได้ส่งมาถึงพรรคพลังประชารัฐมากเท่าที่ควร อีกทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐในตอนนี้ก็ไม่ได้มีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันสักเท่าไหร่นัก จึงน่าสนใจว่า สุดท้ายแล้วพรรคพลังประชารัฐจะผลักดันชื่อของผู้ใดเป็นลำดับต่อไป? หรือจะโยนภาระอีกชื่อนี้ให้กับพรรคที่ถูกมองว่าเป็น
เครือข่ายที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่
แต่อย่างไรเสียหากพลเอกประยุทธ์ เลือกที่จะไปต่อกับพรรคพลังประชารัฐ ก็น่าเชื่อได้ว่ายังมีอีกหลายพรรคการเมืองที่พร้อมจะยังจับมือ กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป อย่างในรายของพรรครวมไทยสร้างชาติภายใต้การนำทัพของนายพีระพันธุ์ หรือพรรครวมพลัง ของนายสุเทพ ตลอดจนถึงพรรคใหม่อีกสองพรรคอย่างพรรคสร้างอนาคตไทยและพรรคเศรษฐกิจไทยด้วย
แต่ในรายของพรรคเศรษฐกิจไทยก็อาจจะต้องวัดใจร้อยเอกธรรมนัสในฐานะแม่ทัพ ว่าจะยังคงอยากไปต่อกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่?เพราะในช่วงนี้ก็มีกระแสข่าวว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจย้ายสังกัดกลับบ้านเพื่อไทยอยู่เนืองๆ ทั้งร้อยเอกธรรมนัสเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่คาดเดายากว่าจะเดินทางไปในรูปแบบใดกันแน่ ซึ่งหากเกิดปรากฏการณ์ย้ายค่ายเช่นนั้นก็คงไม่แปลก จากความสัมพันธ์ส่วนตัวของร้อยเอกธรรมนัสกับพลเอกประยุทธ์ที่ทราบกันว่าดูจะไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แม้ตัวร้อยเอกธรรมนัสจะดูรักและให้ความเคารพพลเอกประวิตรอยู่มาก จนหลายฝ่ายอาจคาดการณ์กันว่า ในอนาคตหากพลเอกประวิตรเอ่ยปากให้เป็นกองหนุนร้อยเอกธรรมนัสก็น่าจะยังคงให้ความร่วมมือเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน
ในขณะที่พรรคร่วมฯขนาดกลางอื่นๆ ที่การตัดสินใจน่าจะมีแนวโน้มเป็นบวกแต่ก็ยังคาดเดายาก เพราะแม้สถานภาพของความเป็นพรรคร่วม น่าจะพอทำให้เป็นต่ออยู่บ้าง แต่สถานการณ์โดยรวมกลับไม่เอื้ออำนวยมากนัก อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำทัพของนายจุรินทร์ที่ยังไม่ถูกพิสูจน์มากสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งด้วยความนิยมของพรรคในตอนนี้ที่ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าอยู่ในโซนปลอดภัย
ส่วนพรรคภูมิใจไทยเอง แม้จะมีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความเป็นพรรคที่มีเสน่ห์มีความสามารถในการดึงดูดใจ สส.ได้อย่างท่วมท้น จนขยับเข้าใกล้คำว่าพรรคใหญ่อีกระดับ แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้อาจต้องสู้ในกติกาที่ตนเองอาจไม่ชำนาญและไม่ได้เปรียบมากนัก
แม้ว่าทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ต่างก็มีศักยภาพมากพอที่จะสามารถ เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ตาม แต่ด้วยหลายปัจจัยที่อาจส่งผลให้ผลที่ออกมาไม่เป็นดั่งใจหวัง แต่ด้วยฐานคะแนนเสียงของทั้งสองพรรคนี้ก็มีในจำนวนที่ไม่น้อยโดยเฉพาะภูมิใจไทยที่น่าจะได้มากขึ้นในครั้งหน้า ดังนั้นหากชวดการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ทั้งสองพรรคนี้ก็จะมีข้อต่อรองระดับสูงที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใดก็ได้ที่จะทำให้คะแนนเสียงฝ่ายนั้นชนะขาดแบบไม่ต้องแคร์ สว. ไม่ว่าอีกฝั่งจะเป็นพรรคพลังประชารัฐที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในสมัยปัจจุบัน หรือพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้านก็ตาม
แม้ว่าในความจริงก็คงมองว่าเป็นไปได้ยากที่พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย เพราะในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย พรรคการเมืองสองพรรคนี้ก็ได้ขับเคี่ยวกันมาหลายยุคหลายสมัย และฟาดฟันกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ผิดกับพรรคภูมิใจไทยที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรกับทุกพรรค เข้าได้กับทุกคน การวางตัวของพรรคภูมิใจไทย จึงน่าจะเข้าได้กับทุกพรรคอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ ที่เพิ่งมีการปรับโครงสร้างหรือเพิ่งเกิดใหม่อย่างพรรคไทยสร้างไทย พรรคชาติพัฒนากล้า ที่แสดงจุดยืนเป็นกลางก็น่าจะมองหาโอกาสเป็นพรรคร่วมกับทุกฝ่ายได้เช่นกัน
ก่อนจะถึงตอนนั้น อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ก็ยังมีเรื่องให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด นั่นก็คือการออกกฎหมายลูกเลือกตั้ง ที่ตอนนี้เท่ากับต้องนับหนึ่งใหม่ กับช่วงเวลาที่เหลืออันน้อยนิด น่าคิดว่าจะเดินกันอย่างไรต่อไป และหากจบสมัยสภาแล้วยังไม่สามารถออกกฎหมายลูกได้จะทำอย่างไรต่อไป แล้วช่องทางที่เหลืออยู่จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ หรือจะทำให้กติกาไปทางใดล้วนมีผลต่อการเมืองทั้งสิ้น รวมถึงแลนด์สไลด์ของเพื่อไทย ที่ตอนนี้คงไม่ต้องคิดถึงการยุบสภาก่อนเลือกตั้งด้วยซ้ำ เพียงแค่อยู่จนจบสมัยก็ไม่รู้ว่าจะออกกฎหมายนี้ทันแบบไม่มีตีรวนหรือไม่
ยิ่งในช่วงที่การประชุมเอเปกนั้นกำลังงวดเข้ามา อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์กดดันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทางใดทางหนึ่งก็เป็นได้หรือไม่? เพราะอย่าลืมว่าพลเอกประวิตรเองก็เคยกล่าวไว้ว่าหลังการประชุมเอเปกนั้น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะยุบสภา นี่จึง
เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่พรรคการเมืองต่างๆ จะเดินเกมอย่างชัดเจนและไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
ทั้งเรื่องการเลือกตั้ง และผู้นำในอนาคต หากมองตอนนี้ก็แทบจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลยสักนิด
แต่อนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นผู้ตอบคำถาม ทั้งอุปสรรคก่อนเลือกตั้งรวมถึงการเมืองหลังเลือกตั้ง
ทุกก้าวเดินของทุกชีวิต ย่อมลิขิตด้วยตัวเองทั้งสิ้น
“คนผู้หนึ่งหากตั้งใจเป็นตัวโง่งม ท่านได้แต่ปล่อยให้มันเป็นม้าตัวหนึ่งหากดึงดันไม่ยอมเดินทางต่อ ท่านก็ได้แต่ปล่อยให้มันหยุดยั้งลง”
โก้วเล้ง จาก ทวนทมิฬ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี