ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น (The apple doesn’t fall far from the tree หรือ like father, like son) เป็น สำนวนที่ทั้งไทยและชาติต่างๆ ให้ความหมายคล้ายคลึงกันคือ พ่อแม่เป็นแบบไหน ลูกก็จะเป็นแบบนั้น หรือเป็นเหมือนพ่อ เป็นเหมือนแม่
ดังนั้น เมื่อพ่อแม่เป็นแบบไหน ก็จึงมักจะพบว่าลูกๆ ก็มักจะเป็นแบบพ่อแม่ หากพ่อแม่ดี ลูกๆ ก็มักจะดีตามไปด้วย แต่ถ้าหากพ่อแม่เลว ลูกๆ ก็มักจะเลวไม่ผิดพ่อผิดแม่
ที่นี่ลองมาพิจารณาประเด็น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ในกลุ่มของนักการเมืองกันบ้าง ซึ่งก็จะพบว่าหากพ่อแม่รายใดเป็นนักการเมืองที่มีพฤติกรรมชั่วช้า ก็มักจะพบว่าลูกๆ ของนักการเมืองจำพวกชั่วช้าสามานย์ก็มักจะมีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากพ่อแม่ของเขา แต่ในมุมตรงกันข้าม หากพ่อแม่ที่เป็นนักการเมืองที่มีความประพฤติดี
ก็จะพบว่าลูกๆ ของนักการเมืองน้ำดี จะเป็นคนดีตามไปด้วย ดีในที่นี้คือไม่สร้างปัญหาให้บ้านเมือง ไม่ใช้อิทธิพลของพ่อแม่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง
เรามาดูกรณีศึกษาเรื่อง “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” จากฉากการเมืองในประเทศฟิลิปปินส์ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับฉากการเมืองของไทย การเปรียบเทียบจากกรณีนี้ น่าจะทำให้เราได้พบเห็นความเกี่ยวโยงบางประการของคำว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นได้ในบางแง่บางมุม
หากคุณเป็นคนที่ติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศฟิลิปปินส์มาตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์มาร์กอส (Ferdinand Emmanuel Edralin Marcos Sr.) เรืองอำนาจในระหว่างปี ค.ศ. 1965-1986
มาร์กอสเป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ ภาพลักษณ์ที่แสนเลวร้ายของเขาคือทรราช เผด็จการ ฟุ่มเฟือย และโหดเหี้ยม นอกจากนี้ยังมีคำอีกหนึ่งคำที่ใช้เรียกรัฐบาลมาร์กอส คือ kleptocrat (a ruler who uses political power to steal his or her country’sresources) ซึ่งหมายความว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐฉ้อฉลปล้นทรัพยากรของแผ่นดินเพื่อเข้าพกเข้าห่อของตนเองมีการระบุโดย The Presidential Commission on Good Government (PCGG) ของฟิลิปปินส์ ว่า คนในตระกูลมาร์กอสขโมยเงินไปจากธนาคารกลางของฟิลิปปินส์5 พันล้านถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
มาร์กอสปกครองประเทศด้วยการประกาศใช้กฎอัยการศึกยาวนานเป็นเวลากว่า 10 ปี เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1972-1981 แล้วที่สุดก็ได้ถูกประชาชนเดินขบวนขับไล่เมื่อ ค.ศ. 1986 และมีข่าวระบุเป็นประจำว่าใช้ความโหดร้ายทารุณกับผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ดังเช่น ข่าวการสังหารอดีตวุฒิสมาชิก เบนิโน นินอย อวิคโน จูเนียร์ และยังมีข่าวความโหดร้ายต่างๆ นานาของมาร์กอสที่กระทำกับฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านทางการเมือง สื่อมวลชนที่พยายามขุดคุ้ยหาความจริงเรื่องการคอร์รัปชั่นของมาร์กอสออกตีแผ่ให้สังคมรับทราบ ผู้นำมวลชนที่ต่อต้านพฤติกรรมคอร์รัปชั่นของมาร์กอส และนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์และนำเสนอความไม่ซื่อสัตย์ของมาร์กอส คนเหล่านี้จะถูกจัดการอย่างไร้ความปรานีโดยไม่มีข้อยกเว้น และยังมีข่าวด้วยว่ามาร์กอสใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของศาลและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นประจำ
มีเสียงวิจารณ์ว่าการที่มาร์กอสสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ยาวนานแม้จะมีพฤติกรรมที่แสนสามานย์ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ (ยุคอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน) เหตุที่สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนมาร์กอสก็เพราะต้องการใช้พื้นที่ของฟิลิปปินส์เพื่อตั้งฐานทัพไว้ควบคุมอาณาบริเวณเอเชียแปซิฟิก เพื่อต่อสู้กับอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซียในยุคสงครามเย็น ดังเราจะเห็นว่าสหรัฐฯ มีฐานทัพเรือสำคัญที่อ่าวซูบิค และฐานทัพอากาศสำคัญที่คลาร์ค
แม้นานาชาติจะทราบดีว่ามาร์กอสและคนในครอบครัวมีพฤติกรรมสามานย์เพียงใด แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่ามาร์กอสและครอบครัวยังได้รับการต้อนรับอย่างดีจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะทำเนียบขาว ทั้งๆ ที่มีความจริงปรากฏว่าเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ล้มสลายลงแล้วก็ตาม มีการระบุว่าชาวฟิลิปปินส์ในยุคที่ถูกมาร์กอสคอร์รัปชั่นคือประเทศที่ยากจนมากจนติดอันดับต้นๆ ของโลก และพบด้วยว่ามีความเหลื่อมล้ำทางฐานะมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน
แต่ก็มีประเด็นน่าสนใจตรงที่ แม้ชาวฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อยต่างประจักษ์ว่ามาร์กอสคือผู้ที่มีพฤติกรรมสามานย์ต่างๆ นานา แต่ก็ยังคงมีลูกๆ ของมาร์กอสคือ บองบองและอีมี ก็ยังคงอยู่ในแวดวงการเมืองของฟิลิปปินส์
จนกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ก็ปรากฏว่า บองบอง ชนะการเลือกตั้ง และได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
นั่นคือเรื่องราวที่แสนน่าสังเวชของฟิลิปปินส์ในยุคมาร์กอสผู้พ่อ แต่มาบัดนี้ฟิลิปปินส์มีประธานาธิบดีคนใหม่คือ บองบอง ลูกชายของมาร์กอส คำถามจึงมีว่า ทำไมคนที่พ่อถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช เป็นคนฉ้อฉลปล้นประเทศ แต่สุดท้ายแล้วลูกของทรราชกลับได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศ
มีผู้ศึกษาวิจัยประเด็นนี้คือ James Loxton แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย และเขาได้เขียนบทความชื่อ The Philippines elected a dictator’s son. Why are dynastie popular” โดยตีพิมพ์ใน The Washington Post เมื่อ 26 พฤษภาคม 2565 (ดูเพิ่มเติมได้จาก https://www.washingtonpost.com/politics/2022/05/26/bongbong-marcos-sara-duterte-philippines/)
สาระสำคัญที่ Loxton ได้ระบุก็คือ ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเช่นที่ระบุในข้างต้นสามารถสะท้อนสิ่งน่าติดตามสองประเด็นคือ การมีตัวแทนลงแข่งขันเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเผด็จการอำนาจนิยม และอีกประเด็นคือ เรื่องของการสืบเชื้อสายหรือการเป็นวงศ์วานว่านเครือของนักการเมือง โดยพบว่าลักษณะทั้งสองนี้มักจะพบได้ในประเทศที่มีประชาธิปไตยเกิดใหม่ น่าสนใจตรงที่ว่าแม้หลายประเทศจะพยายามสร้างความเป็นประชาธิปไตยขึ้นมา แต่ทว่าประชาธิปไตยที่ถูกสร้างขึ้นก็มิได้ชำระล้างสิ่งตกค้างเก่าๆ ตามระบอบเดิมให้หมดสิ้นไป จึงพบว่ายังคงมีความคิดแบบเก่าๆ ที่พัวพันกับความเป็นเผด็จการตกค้างและถูกส่งต่อไปยังรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง และการปกครองในระดับท้องถิ่น
ต้องยอมรับว่างานวิจัยนี้ของ Loxton น่าสนใจมาก และน่านำมาวิเคราะห์เรื่องราวและพฤติกรรมของการเมืองไทยมากที่สุด เนื่องจากเราพบว่าการเมืองไทยมีลักษณะบางอย่างที่ไม่ต่างไปจากการเมืองของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะเรื่องที่นักการเมืองตระกูลหนึ่งถูกขับไล่โดยประชาชน และหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินไปอยู่นอกประเทศ แต่ก็พบว่ามีความพยายามส่งลูกของนักการเมืองผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดินให้เข้าไปอยู่บนเวทีของอำนาจรัฐ เพราะเชื่อว่าเมื่อมีอำนาจรัฐแล้ว จะสามารถลบล้างความผิดทั้งปวงที่ได้กระทำลงไปแล้วได้
ดังนั้นในสังคมไทยยุคนี้ แต่อันที่จริงความพยายามนี้ได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ที่ผ่านมานักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินใช้กลอุบายส่งพี่เมีย ส่งน้องสาว และส่งหุ่นเชิดเข้าไปบนเวทีแห่งอำนาจรัฐ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ตนเองรอดพ้นคดีอาญาได้ จึงไม่สามารถกลับมามีอำนาจรัฐได้อีก ดังนั้นล่าสุดจึงเกิดปรากฏการณ์ พ่อหนีคดีอาญาส่งลูกสาวเข้าสู่สนามการเมือง เพราะหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดินถล่ม (land slide) พาพ่อผู้หนีคดีอาญากลับบ้านได้โดยไม่ต้องติดคุก
สิ่งที่ Loxton ศึกษาไว้ในประเด็นวงศาคณาญาติ วงศ์วานว่านเครือของนักการเมืองกับการเข้าไปมีอำนาจรัฐ คือสิ่งที่ผู้สนใจการเมืองกำลังเฝ้าติดตามว่า ท้ายที่สุดแล้วลูกสาวอดีตนักการเมืองผู้หนีคดีอาญาจะประสบความสำเร็จในการใช้เวทีการเมือง และใช้อำนาจการเมืองพานักโทษหนีคดีอาญากลับมาหรือไม่ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ก็มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่พรรคของนักการเมืองผู้มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดีอาญาต้องชนะการเลือกตั้งแบบดินถล่ม
คำถามที่น่าสนใจและน่าค้นหาคำตอบให้กระจ่างคือ คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้ และยินดีให้การสนับสนุนหรือไม่กับเรื่องที่อดีตนักการเมืองผู้มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินใช้เพทุบายส่งลูกสาวลงสนามการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจรัฐ แล้วมุ่งใช้อำนาจรัฐที่คาดหวังว่าจะยึดกุมได้แล้วใช้เป็นเครื่องมือนำตัวนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี