สัปดาห์นี้เชื่อว่าคงไม่มีข่าวไหน “แรง” ไปกว่ากรณี“นักร้อง (เรียน) คนดัง” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถูกทำร้ายร่างกายขณะเดินทางไปที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แจ้งให้ตรวจสอบงานทอล์กโชว์ “เดี่ยว 13”ประเด็นการใช้ถ้อยคำที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย
อันที่จริงประเด็น “เดี่ยว 13” หรือการทอล์กโชว์โดยนักพูดคนดังอย่าง “โน้ส-อุดม แต้พานิช” ก็เป็นเรื่องร้อนๆ มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะแม้ โน้ส-อุดม จะจัดงานทอล์กโชว์ “เดี่ยวไมโครโฟน” มานานกว่า 2 ทศวรรษ และมีการเสียดสีล้อเลียนรัฐบาลมาทุกยุคสมัย แต่อาจเป็นเพราะระยะหลังๆ “สังคมไทยอยู่ในภาวะขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อมาอย่างยืดเยื้อยาวนานและร้าวซึมลึก” บวกกับการเกิดขึ้นของ “สื่อสังคมออนไลน์” ทำให้แต่ละคนเลือกที่จะรับข้อมูลข่าวสารและรวมกลุ่มกับคนที่มีความคิด-ความเชื่อเหมือนๆ กัน จนมองผู้เห็นต่างเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม
ก่อนอื่นก็ต้องเตือนไว้ว่า “ไม่ว่าจะเกลียดชังหรือไม่พอใจอย่างไรกันก็ตาม แต่การทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นความผิดตามกฎหมาย” ซึ่งเบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหา ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 295 ประกอบมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนั้น ในช่วงแรกๆ ของเหตุการณ์ ยังมีมุมมองจากทนายความบางท่าน ว่ากรณีนี้น่าจะเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ด้วยเห็นว่าคุณศรีสุวรรณไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก) รวมถึงหากการทำร้ายร่างกายส่งผลให้ได้รับอันตรายสาหัส ก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 297-298 ซึ่งโทษจะหนักขึ้นกว่ามาตรา 295-296
ข้างต้นเป็นแง่มุมกฎหมายที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แต่ในแง่มุมอารมณ์ของคนในสังคม “จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ความแตกแยกที่รุนแรงถึงขั้นเห็นดีเห็นงามที่คนของฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้าย” ซึ่งเป็นกันทุกขั้วหรือทุกสีเสื้อทางการเมือง รวมถึงกรณีล่าสุดที่มีผู้เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นทำนอง “สะใจ” ในพื้นที่สื่อออนไลน์ของผู้ก่อเหตุและตามเพจข่าวต่างๆ ไปจนกระทั่งการแชร์เลขบัญชีธนาคารของผู้ก่อเหตุเพื่อให้ผู้ที่คิดเห็นเหมือนกันบริจาคเงิน โดยผู้ก่อเหตุทำร้ายคุณศรีสุวรรณ ยอมรับว่าตนเองเป็นมวลชนฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
เมื่อเร็วๆ นี้ มี 2 เวทีที่แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทย จากความเห็นต่างกลายเป็นความแตกแยกขัดแย้ง อาทิ วงเสวนา “ข้อมูลผิดปกติ (Information Disorder) ในสังคมไทย” ในเวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI) ในเดือนก.ย. 2565 งานดังกล่าว สติธร ธนานิธิโชติผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้ความเห็นว่า แม้การบิดเบือนข้อมูลกับการเมืองนั้นพบได้เป็นปกติ
เช่น ในช่วงเลือกตั้งที่พบการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งกับการโอ้อวดตนเองเกินจริง แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังสามารถถูกควบคุมได้โดยกฎหมาย “ที่น่าห่วงกว่าคือการที่ข้อมูลชุดเดียวกันแต่มองได้หลายมุม และไม่สามารถฟันธงได้ว่าบิดเบือนหรือไม่” อาทิ เมื่อพูดถึงอดีตนายกรัฐมนตรีไทยบางท่าน จะมีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีกับฝ่ายที่บอกว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายประชานิยมและมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 มีทั้งผู้ที่นำดอกไม้ไปให้กำลังใจทหาร และผู้ต่อต้านถึงขั้นขับรถแท็กซี่ไปชนกับรถถัง
หรือย้อนไปเมื่อเดือนก.ค. 2565 เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกอย่าง “การลอบสังหาร ชินโสะ อาเบะอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น” ทางโคแฟคฯ ได้จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “เราเรียนรู้อะไรจากข่าวการลอบยิงผู้นำญี่ปุ่น ความเร็ว vs. ความถูกต้อง ความเชื่อ vs.ความจริง ความชอบ vs. ความชัง” โดยหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ในมุมสุขภาพจิต กรณีลอบสังหารอดีตนายกฯ อาเบะ เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่ผลที่ออกมาคือรุนแรงถึงชีวิต
อีกทั้งผู้ก่อเหตุมีความตั้งใจก่อเหตุเห็นได้จากปืนที่ใช้เป็นอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ประเด็นนี้ต้องวิเคราะห์ไปให้ถึงการรับรู้ ซึ่ง “การรับรู้ที่นำไปสู่การมีสุขภาพจิต
ผิดเพี้ยน ในทางการแพทย์หมายถึงการขาดการรู้เท่าทันสุขภาพ (Health Literacy) และการรับรู้อาจมาจากสื่อ สิ่งแวดล้อมหรือบุคคลรอบข้าง” ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่าปัจเจกบุคคลมีอำนาจทำลายล้างสูงเพียงใด
เมื่อเทียบกับสังคมไทยในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาในประเด็นความคิดที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดความขัดแย้ง สังคมไทยก็มีการแบ่งฝ่ายเป็นคู่ตรงข้าม ประกอบกับสื่อก็มีบทบาทมาก เห็นได้จากใครเลือกข้างไหนก็มักจะรับข้อมูลข่าวสารเฉพาะจากสื่อฝั่งเดียวกัน และไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้การนำเสนอของสื่อหรือการแสดงออกของคนเป็นแบบทิศทางเดียว ซึ่งชี้นำการรับรู้และนำไปสู่การตัดสินใจทางจิต ที่ทางการแพทย์นับเป็นสุขภาพอย่างหนึ่งผิดไปด้วย
ทั้งนี้ กว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความพยายามแสวงหา “ความปรองดองของคนในชาติ” ไม่ว่าจะเป็นในปี 2555 ที่มีการนำเสนอ รายงานฉบับสมบูรณ์ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่มาจากรัฐบาลทหาร คสช. ที่มีการตั้ง สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ขึ้นในปี 2561
แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะยังเป็น “ประเด็นท้าทาย” ในการที่สังคมไทยต้องคิดหาทาง “คลี่คลาย” กันต่อไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี