ถึงแม้ขณะนี้ประเทศไทยจะได้เข้าสู่ระยะปลายฤดูฝนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังปรากฏว่ายังคงมีฝนตกในหลายพื้นที่กระจายทั่วทั้งประเทศ โดยมีปริมาณฝนจำนวนไม่น้อย จนทำให้เกิดภาวะอุทกภัยที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนในบางพื้นที่ ซึ่งยังต้องเฝ้าระวังกันต่อไป เพราะจะยังมีฝนกระจายที่ปริมาณเฉลี่ยประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ เกือบจะในทุกภาคของประเทศ ยกเว้นในภาคใต้ที่มีร่องมรสุมพาดผ่าน อันจะทำให้มีฝนตกที่ปริมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในจังหวัดที่อยู่ทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก
เป็นที่ทราบกันดีพอสมควรว่าในช่วงฤดูฝนนั้นจะมีโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเกิดขึ้นได้หลายโรค ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัส RSV โรคโควิด-19 รวมไปถึงโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ซึ่งทุกโรคที่กล่าวมานั้น ทำให้เกิดอาการได้ ตั้งแต่เพียงเล็กน้อยจนถึงอาจจะเสียชีวิตได้
โรคที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสเป็นหลัก แต่อาจจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยได้หากผู้ป่วยมีอาการมาก ไวรัสที่เป็นสาเหตุของแต่ละโรคมีหลายชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่ก็เกิดจาก Influenzavirus โรค RDV เกิดจากไวรัส RSV และโรคโควิด-19ซึ่งคนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว ก็เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยสายพันธุ์ที่ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างในขณะนี้คือโอมิครอน
ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวจะเข้าไปอยู่ในระบบทางเดินหายใจ เมื่อเป็นเช่นนี้การติดต่อจึงเกิดขึ้นได้ในหลายช่องทาง อันได้แก่ การสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง การไอ จามหรือหายใจรดกันรวมทั้งการสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยเช่นเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ช้อน จาน ชามและของเล่นของเด็กๆ เป็นต้น
โดยมีประชาชนซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังต่อการป่วยจากการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้อยู่หลายกลุ่ม คือ กลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่สำหรับกลุ่มอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะป่วยได้เช่นกัน หากร่างกายถูกใช้งานหนักมากเกินไป หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเหล่านี้เข้าไปในปริมาณที่มากพอ และร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันที่อาจจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีนอยู่ในปริมาณที่สูงพอต่อการป้องกันการเกิดอาการ ก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ โดยอาการที่สำคัญได้แก่ อาการเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและอ่อนเพลีย โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อโดยเฉลี่ย 3-5 วัน
สำหรับในช่วงนี้โรคที่พวกเราคุ้นเคยกันดีและเคยเป็นปัญหาอย่างมาก คือ โรคโควิด-19 ก็ได้เบาบางลงไปมากแล้วโดยมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันซึ่งป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ที่ประมาณ 300 คนและจำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ7 คน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายการฉีดวัคซีนจนถึงเข็มกระตุ้นจึงถือว่ามีความจำเป็น รวมทั้งการสวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะที่มีกลุ่มคนจำนวนมาก
ส่วนอีกโรคหนึ่งซึ่งกำลังมีการระบาดอยู่พอสมควรคือ โรคไวรัส RSV ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นในเด็กเล็กๆ มากกว่าในช่วงอายุอื่นๆ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาจจะเกิดอาการรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จึงเป็นโรคที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องใส่ใจในการสังเกตอาการผิดปกติของลูกหลานตัวเองให้ดี โดยหากพบว่าเด็กเล็กๆ มีอาการไข้ ไอ น้ำมูก หายใจมีเสียงดังครืดคราดซึ่งเกิดจากการมีเสมหะจำนวนมากอยู่ในระบบทางเดินหายใจ จะต้องรีบนำเด็กๆ เหล่านั้นไปพบแพทย์เพื่อขอรับการรักษาโดยทันที และเนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียาที่ใช้เฉพาะในการรักษา การอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง
นอกเหนือจากการให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ยังจะต้องใช้ยาพ่นเพื่อขยายหลอดลม รวมทั้งอาจจะต้องใช้เครื่องดูดเสมหะในการดูดเสมหะที่เหนียวกว่าปกติ ออกจากลำคอและระบบทางเดินหายใจส่วนต้นด้วย ในเด็กเล็กๆ อาการป่วยอาจจะเป็นอยู่ได้ถึงสัปดาห์และจะหายได้ในที่สุด โรคนี้ยังเป็นปัญหาอยู่เพราะถึงขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคนี้
ในภาพรวมของการป้องกันโรคที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจนั้น นอกจากการฉีดวัคซีนกรณีที่มีวัคซีนใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19หรือโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุก็ตาม แต่สิ่งที่จะต้องปฏิบัติร่วมด้วยเสมอก็คือการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการรับเชื้อและการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ควรแยกห้องนอนออกจากผู้อื่นถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ขณะที่มีอาการไอหรือจามให้ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ปิดปากและจมูก หลังจากนั้นทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิดทันที ผู้มีอาการไข้หรือไอควรพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ไปในที่ชุมชนเช่นศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์
ชีวิตของคนเรานั้นเป็นไปตามวัฏสงสาร คือมีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น เรื่องของการเจ็บป่วยนั้นอาจจะป้องกันได้ในบางกรณี และการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขภาพตัวเองโดยปฏิบัติตามหลัก 4 อ. ที่ยังมีประโยชน์อยู่เสมอ ได้แก่ อากาศ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ และอีกสิ่งหนึ่งคือการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนอยู่หลากหลายชนิดซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น
โรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น เกิดได้ทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ ซึ่งทั้งสองโรคนั้นแตกออกเป็นโรคต่างๆ ได้จำนวนมากมาย โรคบางอย่างเมื่อเป็นก็รักษาหาย แต่โรคบางอย่างก็รักษาไม่หาย และในที่สุดอาจจะนำไปสู่การสูญเสียได้
โรคทางกายอาจทำให้เกิดการสูญเสีย คือการจากไปของผู้ที่เจ็บป่วย รวมทั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าโศกเสียใจ หรือการสูญเสียทรัพย์ที่ต้องใช้ในการรักษาพยาบาลก็ตาม ส่วนโรคทางใจอาจทำให้เกิดความสูญเสียในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย ควาทุกข์ใจของเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องแต่ระยะหลังๆ เริ่มพบว่ามีผู้ป่วยทางใจหรือที่เป็นโรคจิต ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม รวมทั้งยาเสพติด ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมด้วย ซึ่งก็ได้มีตัวอย่างเกิดขึ้นแล้วเช่น กรณีปิตุฆาต มาตุฆาต และเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ ทั้งในต่างประเทศและประเทศของเราเอง ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
แต่โรคที่กำลังจะเป็นปัญหามากกว่าโรคทางกายและโรคทางใจ คือ โรคทางสังคม ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด เป็นโรคที่อาจจะยากในการเยียวยารักษามากกว่าโรคใดๆ ทั้งสิ้น และในระยะยาวจะส่งผลต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน โดยมีตัวอย่างกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้น 2 กรณีคือ
การทำร้ายร่างกายกันอย่างปราศจากเหตุผล กรณีของผู้ที่ถูกเรียกกันว่า “นักร้อง” ถูกทำร้ายโดยบุคคลที่อ้างว่าตัวเองเป็นนักมวย เป็นการทำร้ายซึ่งหน้าต่อหน้าผู้สื่อข่าวจำนวนมากหลังการแถลงข่าวบางเรื่อง และกลับกลายเป็นว่าผู้ที่ก่อเหตุร้ายนั้นได้รับการยกย่องในการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและยังได้รับเงินบริจาคที่อ้างว่าเพื่อใช้ช่วยเหลือในการจัดการคดีความอีกเป็นจำนวนไม่น้อย จนน่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อการที่จะมีผู้เลียนแบบเกิดขึ้นได้ในอนาคต
อีกเรื่องหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมาก คือการที่นักร้องนักแสดงชื่อดังท่านหนึ่ง ที่มีความตั้งใจในการทำความดี ในการระดมทุนเพื่อจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การแพทย์จำนวนหนึ่งให้กับโรงพยาบาลนครพนมและโรงพยาบาลแขวงคำม่วน ประเทศลาว ด้วยการว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงไป-กลับเป็นระยะทางมากกว่า 15 กิโลเมตร เพื่อรณรงค์ขอรับเงินบริจาค โดยมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ด้วยการฝึกซ้อมการว่ายน้ำในสภาวะต่างๆ รวมทั้งการฝึกว่ายทวนน้ำในอุโมงค์น้ำของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ก็กลับถูกกลุ่มบุคคลบางกลุ่มสร้างกระบวนการที่เรียกกันว่าบูลลี่ โดยกล่าวหาว่าเป็นการสร้างดราม่า ซึ่งนักร้องนักแสดงดังกล่าวก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างใดโดยยึดมั่นในความตั้งใจที่จะทำดีของตน และในที่สุดการว่ายน้ำจากฝั่งไทยข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งลาวและกลับมาสู่ประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ โดยใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 6 ชั่วโมง ก็ผ่านพ้น ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยมีผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลร่วมบริจาคเงินเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นมากกว่า60 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เงินบริจาคประมาณ 16 ล้านบาท
หากกระบวนความคิดวิปริต ที่เห็นดีเห็นงามและยกย่องคนที่กระทำผิด แต่กลับกล่าวหาและใส่ร้ายกับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจกระทำความดี เกิดกระจายไปมากขึ้น ในประชาชนบางกลุ่มและเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ซึ่งกำลังถูกปลุกปั่นชักจูงให้มีแนวความคิดที่ผิดไปจากสิ่งที่เป็นปกติ แน่นอนว่าต่อไปก็จะทำให้เกิดโรคชนิดใหม่ ที่ผู้เขียนขอใช้คำว่าโรคทางสังคม
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งมีความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะต้องช่วยกันในการป้องกันไม่ให้โรคทางสังคมดังที่กล่าวไว้ขยายตัวเติบโตขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศของเรา
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี