ต้องถือว่าเป็นความโชคดีของประชาชนชาวไทย ที่ในช่วงระยะเวลาประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐบาลทุกรัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับการสนับสนุนและส่งเสริม การพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนไทยในภาคส่วนใด ก็จะได้รับการดูแลในเรื่องนี้เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม โดยประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดประมาณ 48 ล้านคน จะอยู่ในระบบที่เรียกว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง หรือ 30 บาท ประชากรจำนวนเกือบ 24 ล้านคน จะอยู่ในระบบประกันสังคม ส่วนที่ 3 คือ ข้าราชการและญาติสายตรงประมาณ 4.8 ล้านคน จะอยู่ในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และขณะนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในระบบร่วมบริหารจัดการของระบบต่างๆ แล้ว ซึ่งทำให้ประชากรชาวไทยที่มีอยู่ในขณะนี้เกือบจะถึง 70 ล้านคน ได้รับการคุ้มครองทั้งในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพภายหลังการเจ็บป่วยอย่างครบวงจร
จากความครอบคลุมของจำนวนประชากรเกือบทั้งหมดตามระบบต่างๆ ที่มีอยู่ โดยแทบจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้าสู่ระบบของการรักษาพยาบาล ยกเว้นในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมซึ่งยังต้องร่วมจ่ายอยู่บ้าง เช่นผู้ที่อยู่ในระบบจ้างแรงงานตามมาตรา 33 ยังจะต้องร่วมจ่าย แต่เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 750 บาทต่อเดือนโดยมีการร่วมจ่ายของนายจ้าง และรัฐบาลด้วยเพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนประกันสังคม ซึ่งเงินในส่วนของกองทุนนี้ได้รับการจัดสรรเพื่อใช้เป็นสวัสดิการในเรื่องอื่นๆ ด้วย
ความครอบคลุมดังที่กล่าวมานี้นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อประเทศของเราต้องเผชิญกับโรคระบาดขนาดใหญ่คือโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากการจัดการที่ดีของรัฐบาล ทำให้เกิดการสอดประสานอย่างดีเยี่ยมของกองทุนต่างๆที่มีอยู่ ทำให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องในเรื่องการป้องกัน ควบคุม ตลอดจนการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งได้รับการยอมรับและมีการประกาศเกียรติคุณโดยองค์การอนามัยโลก
เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในเบื้องต้นคือกระบวนการเข้าสู่การรักษาพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การเจ็บป่วยนั้น เข้าลักษณะของผู้ป่วยฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือจากโรคใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงจนอาจจะนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งเป็นที่ไปที่มาของการที่โรงพยาบาลทุกแห่งต้องมีห้องฉุกเฉิน ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Emergency Room อีกคำหนึ่งที่ใช้กันมากโดยเฉพาะในต่างประเทศอาจจะเรียกแผนกนี้ว่า Accident and Emergency ซึ่งเป็นหน่วยบริการที่เน้นเรื่องของการรักษาผู้ป่วยบาดเจ็บหรือการป่วยในลักษณะที่เรียกว่าฉุกเฉินหรือมีอาการร้ายแรง โดยในแผนกนี้จะมีแพทย์และพยาบาลที่มีความรู้ความสามารถในการดูแลผู้ป่วยดังกล่าวโดยเฉพาะ
ระบบที่รองรับการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินของประเทศไทยได้ถูกพัฒนามาระยะหนึ่งแล้วโดยในตอนแรกๆ เรียกระบบนี้ว่าEMCO ซึ่งย่อมาจากคำว่า Emergency Claim Online ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกในปี 2555 โดยผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ได้ โดยค่ารักษาที่เกิดขึ้นนั้นโรงพยาบาลที่ให้การรักษาจะเรียกเก็บไปยังกองทุนของระบบบริการสุขภาพต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ในตอนต้น ถึงแม้ระบบนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่ก็เกิดปัญหาในเรื่องของเกณฑ์การวินิจฉัยเป็นอย่างมากว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษานั้นเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินจริงหรือไม่ และหลายครั้งก็ทำให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้ป่วยและโรงพยาบาล ในเรื่องของการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มองเห็นประเด็นดังกล่าวจึงได้มีความร่วมมือเกิดขึ้นกับกองทุนประกันสังคมและกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในการปรับปรุงระบบเดิมให้เป็นระบบที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้เกิดระบบใหม่ที่เรียกว่า UCEP ซึ่งย่อมาจาก Universal Coverage for Emergency Patients ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่เรียกว่า “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิ์ทุกที่” และได้เริ่มใช้เมื่อปีพ.ศ 2560 โดยผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤตสามารถจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของภาครัฐและเอกชนทุกแห่งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ให้โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายขึ้นตามกรอบที่กำหนดไว้ได้จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่เป็น Clearing House ในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ระดมมาจากทั้งสามกองทุน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยรายนั้นมีสิทธิ์พื้นฐานของการรักษาพยาบาลสังกัดอยู่กับกองทุนใด
และเพื่อไม่ให้เป็นประเด็นในการเกิดข้อโต้แย้งว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษานั้นเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือไม่จึงได้มีการกำหนดเกณฑ์ซึ่งประกอบด้วยอาการ 6 อาการดังนี้
1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง
3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง
5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หากพบอาการที่เข้าข่าย
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นตัวกลางรับผิดชอบในการประเมินอาการว่าเข้าเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ โดยในส่วนของผู้ป่วยนั้นหากมีอาการข้างต้น สามารถติดต่อเพื่อการเคลื่อนย้ายเข้ารับการรักษาพยาบาล ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 1669
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ มีข่าวดีจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยนายแพทย์จเด็ด ธรรมธัชอารี เลขาธิการของสำนักงานนี้ ได้แถลงข่าวต่อสาธารณชนให้ได้รับทราบว่าในส่วนของประชาชนที่มีสิทธิพื้นฐานการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ซึ่งมีอยู่มากกว่า 48 ล้านคนอันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นว่า ตั้งแต่วันดังกล่าว หากผู้ใดมีอาการเจ็บป่วยด้วยเล็กน้อยรวม 16 กลุ่มอาการ อันประกอบไปด้วย
อาการปวดหัว เวียนหัว ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก ถ่ายปัสสาวะ ขัดปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเจ็บ ตกขาวผิดปกติ อาการทางผิวหนังผื่นคัน บาดแผลความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตาและความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับหู
สามารถจะเข้ามาขอรับคำปรึกษาได้จากร้านยาชุมชนอบอุ่นซึ่งเป็นร้านขายยาแผนปัจจุบันที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการ เรียกว่าบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ 500 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ อีกหลายจังหวัด ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายเพิ่มเติมให้กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
การดำเนินการครั้งนี้เป็นความร่วมมือของสภาเภสัชกรรมแห่งประเทศไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยร้านยาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้โดยสภาเภสัชกรรมฯ ซึ่งรวมไปถึงการ กำหนดชนิดของยาซึ่งใช้ในการรักษากลุ่มอาการดังกล่าวด้วย โดยเภสัชกรประจำร้านยาจะเป็นผู้สอบถามอาการของผู้ป่วยและพิจารณาในการจ่ายยาเพื่อการรักษา ตามสูตรที่กำหนดไว้ หลังจากจ่ายยาไปครบ 3 วันจะมีการโทรติดตามถามอาการไปยังผู้ป่วย หากอาการยังไม่ดีขึ้นและมีข้อบ่งชี้ว่าจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ก็จะมีการประสานงานในการเข้ารับการรักษาต่อไป
โครงการนี้จะทำให้ผู้ที่ป่วยเพียงเล็กน้อยไม่ต้องเสียเวลาในการไปโรงพยาบาลที่อาจจะใช้เวลาค่อนข้างจะมากเนื่องจากปัญหาความแออัดของโรงพยาบาลที่ร่วมอยู่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทอง รวมทั้งแบ่งเบาภาระของแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลได้ส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งจะทำให้มีเวลามากขึ้นในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่าที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล
อาจจะมีผู้เห็นแย้งว่าโครงการนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยจริงหรือไม่ ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปดูในสภาพความเป็นจริงว่า ในทุกๆ วันนี้มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อมีการเจ็บป่วยเล็กน้อยตามอาการที่กล่าวมานั้น ได้เข้าไปขอซื้อยาจากร้านขายยาซึ่งปัจจุบันมีระเบียบว่าต้องมีเภสัชกรอยู่ประจำอยู่แล้ว และเภสัชกรก็มีความรู้เรื่องของยารักษาโรคเป็นอย่างดี
เชื่อว่าเมื่อโครงการนี้ดำเนินไประยะหนึ่ง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องมีการติดตามประเมินถึงประสิทธิผลที่เกิดขึ้น และหากเป็นเรื่องที่ดีจริงอาจจะเห็นโครงการนี้ขยายไปในผู้ป่วยที่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือแม้แต่ระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการในอนาคตก็เป็นได้
รัฐบาลได้ให้ความใส่ใจในเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด และหากหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้พัฒนางานในส่วนที่รับผิดชอบให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ประชาชนชาวไทยมีสุขภาพที่ดีได้อย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี