“เราไปร่ำเรียนเศรษฐกิจมหภาค เราก็เอามาใช้ในประเทศไทยส่งเสริมการลงทุน ส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ส่งเสริมเขตพื้นที่อุตสาหกรรม ถามว่าคนตัวเล็กตัวน้อยได้เท่าไร?ถามว่าพื้นที่ได้เท่าไรของเศรษฐกิจมวลรวมที่มันเติบโตขึ้น?ไม่มีคำตอบ! แต่มีคำตอบอยู่ใน Gini coefficient(สัมประสิทธิ์จีนี) คือระดับรายได้ของคนสูงสุดกับคนต่ำสุดห่างกัน 20 กว่าเท่า”
มุมมองจาก กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่กล่าวในงาน “ชุมชนนวัตกรรมแห่ง
การเรียนรู้ (Learning and Innovation Community)”เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ว่าด้วยแนวทางการพัฒนาที่ผ่านมาของประเทศไทย ซึ่งผู้วางนโยบายไปเรียนรู้มาจากต่างประเทศโดยเฉพาะโลกตะวันตก ผลที่ได้คือ “ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ช่องว่างฐานะระหว่างคนรวยและคนจนที่ถ่างกว้าง ในขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจฐานราก” ของประชาชนชาวไทยด้วยกันเองไม่มีอยู่ในสารบบของรัฐ
กิตติ ชี้ “จุดแข็ง” ที่มีอยู่ในระดับฐานรากของสังคมไทย อาทิ 1.ฐานพืชและสัตว์เศรษฐกิจ แม้ส่วนใหญ่จะอยู่กับเศรษฐกิจมหภาค (Macro Economy) แต่ก็สร้างรายได้มหาศาลให้ชุมชน 2.ฐานคนตัวเล็กตัวน้อย ตั้งแต่ผู้ประกอบการระดับท้องถิ่น (Local Business) ทรัพยากร ทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งฐานประเภทนี้ทุนใหญ่ไม่ลงมาเล่นด้วยเพราะตลาดไม่ใหญ่พอ และ 3.การจับจ่ายใช้สอย หมายถึงการบริโภคหรือภาคบริการ (Service Sector) แต่ทั้ง 3 ฐานนี้รัฐไม่มีข้อมูล โดยฐานข้อมูลเศรษฐกิจของรัฐจะมีในระดับจังหวัดขึ้นไป แต่ไม่มีในระดับอำเภอลงมา
ประการต่อมา “บริบทความรู้ของไทยมี 2 ฝั่งและมักแยกออกจากกัน” ฝั่งหนึ่งคือเศรษฐกิจมหภาค เช่น พืชหรือสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของงานวิจัยในประเทศไทยอยู่ในฝั่งนี้ อาทิ งานวิจัยเกี่ยวกับข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และงบประมาณที่เกี่ยวกับด้านการเกษตรกว่าร้อยละ 90 ก็ถูกจัดสรรให้ส่วนนี้เช่นกัน แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง เป้าหมายของการสนับสนุนในส่วนนี้คือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Competition) แต่ไม่ใช่การพัฒนาที่ครอบคลุม (Inclusive)
“ข้อมูลชัดนะ ข้อมูลต่างประเทศด้วย 100% ของValue Chain (ห่วงโซ่มูลค่า) คนผลิตต้นน้ำได้ไม่กี่เท่าไม่แปลกที่เกษตรกรต้นน้ำปลูกแล้วปลูกอีกก็จะจนไม่แปลกที่เกษตรกรเวลาอยากได้รายได้เพิ่มก็คือเพิ่มพื้นที่การผลิต มีวิธีเดียวเลย ทำ 1 ไร่ ทำ 10 ไร่ ทำ60 ไร่ ทำ 100 ไร่ เพิ่มพื้นที่การผลิตเป็นการเพิ่มความเสี่ยง เพราะว่าเวลาโดนยึดทรัพย์ด้วย เพราะฉะนั้นประเทศไทยมันจะมีคนหายจนและคนจน Swing (แกว่ง)มากเพราะเกิดจากทำต้นน้ำ แต่พอจะไปทำกลางน้ำเรามี Skill (ทักษะ) ไหม? เราไปสู้รายใหญ่ได้ไหม?
เพราะฉะนั้นพืชทุกพืช สัตว์เศรษฐกิจทุกสัตว์ที่ทำเฉพาะต้นน้ำแล้วส่งเข้าโรงงานเลย กิน Value Chain ต่ำ แทบจะกินไม่ได้เลย วิธีการมีวิธีเดียวถ้าจะทำตรงนี้ให้เป็นโครงสร้างกระจายรายได้ คือทำ Contact Farming (เกษตรพันธสัญญา) ที่ Fair (เป็นธรรม) รัฐบาลต้องเข้ามาสร้าง Ecosystem (ระบบนิเวศ) ที่ทำให้สัดส่วนรายได้เกษตรกรเขาอยู่ได้และเป็นธรรม แล้วมี Commitment (ความมุ่งมั่น) ที่ชัดเจนว่า 100% ที่ควรจะได้ ทุนใหญ่เขาแบกรับความเสี่ยงเขาควรจะได้อยู่แล้ว แต่เขาควรกระจายรายได้ให้เกษตรกรต้นน้ำ แบกรับความเสี่ยงอะไรเพิ่มเติมบ้าง” กิตติ ระบุ
ข้างต้นนี้คือโครงสร้างที่เชื่อมโยงระหว่างการแข่งขันกับการกระจายรายได้และจำเป็นต้องทำ แต่อีกด้านหนึ่ง บพท. ก็ชูรูปแบบการพัฒนาแบบใหม่เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถอดบทเรียนจากการศึกษาธุรกิจระดับท้องถิ่น โดยธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้กระจายตัวกันอยู่ทั่วประเทศ มีทั้งที่จัดตั้งและไม่จัดตั้ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 2-3 ล้านกลุ่ม แต่ละกลุ่มเฉลี่ยแล้วดูแลคนได้7 ครัวเรือน แต่รูปแบบการพัฒนาแบบนี้ต้องเริ่มจากล่างขึ้นบน (Bottom Up) และต้องอาศัยลักษณะเฉพาะ ประกอบด้วย ใช้ฐานทรัพยากรในพื้นที่ มีการจ้างงานคนในพื้นที่ และมีโครงสร้างกระจายรายได้
ซึ่งที่ผ่านมาการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย เน้นการพัฒนาให้แข่งขันได้ผลคือแม้ SME เติบโตแต่ไม่ได้พาชุมชนโตไปด้วย ทั้งนี้ “งานวิจัยและนวัตกรรมร้อยละ 70 มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแบบเป็นรายกิจการไป (One-by-One)” หลายกิจการได้รับทุนสนับสนุนแล้วสามารถยกระดับธุรกิจของตนเองให้เติบโตขึ้นได้จริง เช่น จากธุรกิจขนาด 10 ล้านบาทขึ้นไปเป็นขนาด 100 ล้านบาท แต่มีการจ้างงานคนจำนวนน้อยมาก
อีกปัญหาหนึ่งที่พบคือ “มีผู้ประกอบการระดับชุมชนสักกี่รายที่ตั้งราคาให้เหมาะสมกับตลาดเป็น” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ความรู้เท่าทันด้านการเงิน (Financial Literacy)” หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ ต่อให้ผลิตสินค้าออกมาได้ดีเพียงใดธุรกิจก็ไปไม่รอด อาทิมีกรณีของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะเป็นโอกาสของธุรกิจท้องถิ่นเพราะมีคนเดินทางเข้าไปเที่ยวและต้องจับจ่ายใช้สอย แต่กลายเป็นว่าไปตั้งขายแบบ “ลดราคาจนเจ๊ง” ความรู้เท่าทันด้านการเงินจึงอาจเป็นทักษะที่ผู้ประกอบการควรมีก่อนที่จะไปเรียนรู้ทักษะด้านการตลาดเสียด้วยซ้ำไป
ผอ.บพท. กล่าวถึงอีกข้อค้นพบคือ “สำนึกท้องถิ่น” เช่น ในขณะที่การปลุกพืชเศรษฐกิจเป็นการใช้ทรัพยากรแบบใช้แล้วหมดไป เพราะเมื่อต้องการขยายพื้นที่ปลูกก็ต้องถางป่า และปลูกไปนานๆ เข้าดินก็เสื่อม แต่การพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรฐาน คนในพื้นที่จะรู้สึกว่าทรัพยากรนั้นมีประโยชน์แล้วจะเกิดการอนุรักษ์ขึ้นดังนั้นการใช้ทรัพยากรจะไม่ใช่ใช้แบบปล่อยให้หมดไป จึงเป็นการพัฒนาที่เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรแล้ว “ฐานวัฒนธรรม” เป็นอีกด้านที่ทำให้เห็นชัดถึงสำนึกท้องถิ่นและอาจจะยิ่งกว่าฐานทรัพยากร เพราะจะทำได้อย่างแรกต้อง “สืบค้น” เสียก่อน ทั้งความเป็นชาติพันธุ์ วิถีชีวิตการละเล่น ฯลฯ แล้วมานำเสนอในลักษณะที่สามารถสร้างรายได้ หรือ “สร้างมูลค่า” และหากทำได้ยังเป็นการ “สร้างแรงบันดาลใจ” ให้กับคนรุ่นใหม่ ลบคำกล่าวที่ว่า “วัฒนธรรมไม่มีคนต่อยอด” ดังตัวอย่างของ “ไก่ชน” ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นหมื่นล้านบาทอีกทั้งช่วยอนุรักษ์พันธุ์ไก่ แม้เป็นแวดวงที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดๆ เลยก็ตาม
หรือกรณีของ “ประชาคมวัฒนธรรมทุ่งสง”ในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีการจัดงานที่ระดมร้านค้าในพื้นที่ 250 ร้าน คาดว่าทำรายได้หลักหลายล้านบาทในรอบ 5 ปีของการเก็บข้อมูล ที่สำคัญคือ “เป็นการดูดซับผลของการเติบโตไว้ในท้องถิ่นไม่ใช่ปล่อยให้เติบโตแล้วไหลออกไปสู่ทุนใหญ่อย่างเดียว” หากไม่มีจุดนี้ เศรษฐกิจไทยก็ยังจะเติบโตในแบบมหภาค คือผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โตแต่ความเหลื่อมล้ำ (Gini) เพิ่ม!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี