เมื่อเกิดความไม่เป็นธรรมใดๆ ในการดำเนินกิจการของข้าราชการตำรวจ บุคคลรายแรกที่ต้องถูกตำหนิก็คือนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบได้
อ้างตามมาตรา 30 พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ให้มีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ เลขาธิการ ก.พ. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการข้าราชการตำรวจโดยตำแหน่ง
พันธกิจสำคัญประการหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. ต้องยึดมั่นและปฏิบัติคือการให้ความเป็นธรรมโดยเคร่งครัดในการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ
แต่คำถามสำคัญคือ นายกรัฐมนตรีเอาจริงเอาจังกับการให้ความเป็นธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้ายตำรวจหรือไม่
นายกรัฐมนตรีรู้หรือไม่ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทุกครั้งมีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ปกติ อันเข้าข่ายทุจริตเป็นประจำ หรือนายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความจริงเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง การวิ่งเต้น การใช้เส้นสายในการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ
กรณีล่าสุดทำให้สาธารณชนตั้งคำถามกับวงการตำรวจไทยอีกว่า ยังคงตกอยู่ในวังวนของความไม่เป็นธรรมอีกใช่หรือไม่ เมื่อ พลตำรวจตรีวันไชยเอกพรพิชญ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 ฟ้องศาลปกครองกลางว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยฟ้องคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 ในการพิจารณาแต่งตั้งตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงไปถึงระดับผู้บังคับการ ตามวาระประจำปี 2565
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 กันยายน 2565 อันสืบเนื่องจากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) ในคราวการประชุมครั้งที่ 8/2565 วันที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่เห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาถึงผู้บังคับการ วาระประจำปี 2565 เฉพาะในส่วนที่ไม่มีรายชื่อผู้ฟ้องคดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีผลใช้บังคับ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะต้องไปพิจารณาการแต่งตั้ง
ข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเฉพาะในส่วนของผู้ฟ้องคดีให้ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่หนึ่ง
สรุปคือ การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ให้ความเป็นธรรมกับพลตำรวจตรีวันไชย เอกพรพิชญ์ และศาลปกครองกลางสั่งให้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ฉบับลงวันที่ 7 กันยายน 2565
สิ่งหนึ่งที่สาธารณชนทราบชัดเจนคือ ประธาน ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่เป็นปัญหาคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ในขณะที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่าเมื่อศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว หมายความว่าคำสั่งแต่งตั้งตำรวจระดับสูงที่ผ่านมาต้องเป็นโมฆะไปทั้งหมดหรือไม่
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณามาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้คัดเลือกตำรวจที่ได้รับการพิจารณาเลื่อนยศให้สูงขึ้น
จะต้องคำนึงถึงอาวุโส ประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน และความประพฤติ รวมถึงความรู้ความสามารถ เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา เพื่อป้องกันมิให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติใช้อำนาจแต่งตั้งตำรวจตามอำเภอใจของตนเอง
มีคำถามตามมาว่า ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจนั้น ได้ยึดมั่นในหลักคุณธรรม (Merit System) โดยเคร่งครัดหรือไม่ หรือใช้หลักตามอำเภอใจ โดยพิจารณาว่าตำรวจรายใดเป็นพวกของกู ก็ได้รับตำแหน่งสูงเป็นเครื่องตอบแทน หรือใช้การพิจารณาจากตั๋วช้าง หรือพิจารณาจากการจ่ายเงินวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งสูงๆ
ผู้ที่ติดตามเรื่องราวต่างๆ ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด บอกว่าไม่เคยเชื่อว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจโปร่งใส บริสุทธิ์
ขาวสะอาด เพราะจะพบเห็นมาโดยตลอดว่าผู้ได้รับการอวยยศให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเป็นจำนวนมิใช่น้อย มิได้ได้รับตำแหน่งด้วยความรู้ ความสามารถโดยแท้จริง แต่ได้รับตำแหน่งเพราะเป็นเด็กนาย มีตั๋วช้างมีเงินซื้อตำแหน่ง และได้รับตำแหน่งเพราะมีเส้นสายมีพรรคพวก จึงเห็นเป็นประจำว่ามีการแต่งตั้งแบบข้ามหัว (กบาล) กันอย่างไม่ยำเกรงต่อหลักการแต่งตั้งตามระบบคุณธรรม
ย้อนกลับไปดูการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจล่าสุด เมื่อวันที่พลเอกประวิตร ไปนั่งเป็นประธานการประชุมพิจารณาในฐานะประธาน ก.ตร. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั้งหมด 255 ตำแหน่ง ปรากฏว่าใช้เวลาการพิจารณาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นจึงมีคำถามว่าการพิจารณาแต่งตั้งดังกล่าวยึดหลักความเป็นธรรม หรือยึดหลักอวยยศให้เฉพาะตำรวจที่เป็นพวกกู หรือตำรวจที่ถือตั๋วช้างไว้ในมือ
เมื่อตำรวจซึ่งนับว่าเป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมในสังคม ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาผลงาน และความดีความชอบตามหลักการของระบบคุณธรรม แล้วจะไปหาความยุติธรรมใดๆ ได้ในสังคมไทย เพราะเมื่อคนที่ต้องยึดมั่นในความยุติธรรมไม่มีความยุติธรรม และไม่ได้รับความยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้น ก็ไม่ต้องหวังว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับใครๆ ในสังคมได้
เมื่อตำรวจได้รับการอวยยศเพราะเป็นเด็กนาย ถือตั๋วช้าง ใช้เงินซื้อตำแหน่ง แล้วก้าวข้ามหัวตำรวจที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ก็ไม่ต้องหวังว่ากระบวนการยุติธรรมในชั้นเริ่มต้นจะมีความยุติธรรมที่แท้จริง
ผู้เขียนเห็นด้วยและสนับสนุนให้ตำรวจทุกนาย ทุกระดับชั้นยึดมั่นในหลักการของระบบคุณธรรม เคร่งครัดในหลักความถูกต้องโดยแท้จริง และขอเรียกร้องให้ตำรวจที่เคร่งครัดต่อระบบคุณธรรมออกมาช่วยกันเปิดโปงความฉ้อฉล ทุจริตต่างๆ ในวงการตำรวจ โดยไม่เกรงกลัวต่อความสามานย์ของตำรวจบางคนที่ใช้อำนาจแต่งตั้งโดยไม่เป็นธรรม
ขอเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ใช้ความเด็ดขาดเข้าไปทำความสะอาด ชำระล้างความโสโครกต่างๆ ให้วงการตำรวจโดยพลัน เพื่อจะได้เป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้ตำรวจที่ยึดมั่นในหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์โดยแท้จริง หากพลเอกประยุทธ์มั่นใจและยืนยันว่าตนเองมีความบริสุทธิ์ โปร่งใส ขาวสะอาด
แล้วก็หวังว่า ก.ตร. จะไม่ใช้กลอุบายซื้อเวลาเพื่อยื้อให้ความไม่ยุติธรรมยาวยืดออกไป ด้วยการทอดเวลาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องเกษียณอายุราชการไป
ในเมื่อศาลปกครองกลางพิพากษาแล้วว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ไม่เป็นธรรม ก็จำเป็นที่ ก.ตร. และนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. ต้องแสดงความรับผิดชอบโดยพลัน ไม่จำเป็นต้องสะสมให้เกิดความอยุติธรรมสืบต่อไปเรื่อยๆ ในวงการตำรวจไทย
ขอย้ำยืนยันว่า เมื่อวงการตำรวจยังเต็มไปด้วยความไม่สุจริต ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรม ก็ไม่ต้องหวังกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยจะมีความขาวสะอาด และเชื่อถือได้อย่างครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี