ดูเหมือนว่าความหวาดกลัวและหวั่นเกรงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ของประชาชนชาวไทยแทบจะหมดสิ้นไปแล้ว อันจะเห็นได้ว่าประชาชนในทุกถิ่นที่ได้ออกมาดำเนินชีวิตในรูปแบบที่เป็นปกติเกือบจะทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า น่าจะมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนชาวไทยยังคงสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกนอกเคหสถานเพื่อไปในสถานที่ต่างๆ ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะถึงอย่างไรก็ช่วยไม่ใช่เฉพาะป้องกันการติดโรคโควิด-19 ไม่ให้เกิดขึ้นง่ายเกินไป แต่ยังครอบคลุมไปถึงการป้องกันโรคที่ผ่านระบบทางเดินหายใจได้ด้วย
สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจะรายงานเป็นรายสัปดาห์นั้น ก็จะพบว่าหากนำตัวเลขของจำนวนผู้ติดเชื้อและเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลในรอบสัปดาห์มาหาค่าเฉลี่ยเป็นรายวัน ก็จะพบว่าในแต่ละวันนั้นมีผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาเฉลี่ยประมาณ 300 รายเศษ และมีผู้เสียชีวิตรายวันเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4-5 ราย โดยขณะนี้จะไม่มีการรายงานถึงจำนวนของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วว่าเกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นจำนวนเท่าใด และมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะ 1, 2, 3 หรือ 4 เข็มหรือมากกว่านั้นอย่างใดแล้ว
ประเทศไทยของเราได้เปิดประเทศเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และมาตรการที่ใช้ในการควบคุมป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 จากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยก็ถูกยกเลิกไปจนเกือบหมดสิ้น ทำให้เกิดเป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง ดังที่จะเห็นว่าในขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในแต่ละวันมีจำนวนมากมาย จนทำให้มีการคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในปีถัดไปจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมากกว่า 80 ล้านราย ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับประเทศ ซึ่งรายได้นั้นจะถูกกระจายไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งประชาชนทุกระดับซึ่งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ด้วย อันจะเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีกด้านหนึ่ง
ขอย้อนกลับมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องโรคระบาดที่เป็นลักษณะของโรคประจำถิ่นที่ยังคงเกิด ในบ้านของเรา ซึ่งโรคนี้ปกติจะพบมากในช่วงฤดูฝน แต่ในช่วงต่อระหว่างปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาวก็ยังเกิดได้มาก เป็นโรคที่คนไทยรู้จักกันดีคือโรคไข้เลือดออก พาหะของโรคคือยุงลาย โดยเฉพาะยุงลายตัวเมีย ซึ่งจะพบได้ในทั่วทุกถิ่นของประเทศ โดยมักจะกัดและดูดเลือดในเวลากลางวัน ซึ่งเมื่อยุงกัดนั้น จะมีเชื้อไวรัสที่เรียกว่าเดงกี่ไวรัส (Dengue virus) ที่ฟักตัวอยู่ในกระเพาะของยุง โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 8-12 วัน ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงไปกัดคน เชื้อก็จะผ่านจากยุงเข้าสู่คนได้ ระยะฟักตัวของเชื้อในคนจะอยู่ที่ประมาณ 5-8 วัน ก่อนที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการของไข้เลือดออกแสดงออกมา
อาการที่เกิดในผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความรุนแรงที่แตกต่างกัน ในเบื้องต้นจะมีอาการคล้ายกับเป็นไข้ โดยจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหารหรืออาเจียนร่วมด้วยได้ ถ้าเกิดในเด็กเล็กและไข้เริ่มสูงขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดอาการชักได้ โรคในระยะนี้อาจจะเรียกว่า Dengue Fever หรือไข้เดงกี่
อีกระยะหนึ่งของโรค ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงกว่าถูกเรียกว่า Dengue Hemorrhagic Fever หรือไข้เลือดออก อาการที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะเริ่มต้นด้วยอาการไข้สูงส่วนใหญ่จะสูงมากกว่า 38.5 องศาและอาจขึ้นไปถึง 40 ถึง 41 องศา อาการเลือดออกในจุดต่างๆ ซึ่งพบบ่อยที่สุดในบริเวณผิวหนัง พบว่าผู้ป่วยจะมีเส้นเลือดเปราะและแตกง่าย ร่วมกับมีจุดเลือดออกเป็นจุดเล็กๆ กระจายทั่วไปตามแขน ขา ลำตัวและรักแร้ อาจจะมีเลือดออกตามไรฟันได้ผู้ป่วยบางรายจะมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการช็อกได้
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการตับโตและกดเจ็บในช่วง 3-4 วันหลังจากเริ่มมีไข้ แต่อาการที่รุนแรงที่สุดคือภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ซึ่งอาจจะเกิดได้ถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคนี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากไข้เริ่มลด คือเกิดอาการช็อกเนื่องจากมีการรั่วของพลาสม่าออกไปยังช่องปอดหรือช่องท้อง เกิด Hypovolumic shock อาการนี้จะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 8 การมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็นชีพจรเบาและความดันโลหิตตก คือสัญญาณบอกเหตุว่าผู้ป่วยกำลังจะเข้าสู่ภาวะช็อก
การรักษาโรคไข้เลือดออกนั้นจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มียาที่ใช้เฉพาะในการกำจัดเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุ การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ โดยในระยะต้นของการเจ็บป่วยซึ่งจะมีอาการไข้ปวดศีรษะนั้น จะรักษาโดยการให้ยาลดไข้คือพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแก้ปวด ลดไข้ กลุ่มแอสไพริน เพราะจะทำให้มีเลือดออกมากยิ่งขึ้นจะเป็นอันตรายได้ การดื่มน้ำเกลือแร่จะช่วยชดเชยอาการขาดแคลนน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไปในกรณีที่มีอาการอาเจียนร่วมด้วย ทั้งนี้ต้องสังเกตอาการตัวเองอย่างใกล้ชิด ถ้ามีไข้สูงมากและอาการไม่ทุเลาในระยะ 2-3 วันควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยรายนั้นมีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศา ร่วมกับอาการอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตรวจเลือดเแล้วพบว่า ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้นกว่าเดิม และเกล็ดเลือดต่ำลงอย่างมาก ซึ่งยืนยันถึงการมีภาวะเลือดออกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่จะนำไปสู่ภาวะช็อกได้ แพทย์จะพิจารณาให้น้ำเกลือร่วมด้วย รวมทั้งหากเกล็ดเลือดมีระดับต่ำจนเกินไป และมีอาการเลือดออกที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนก็จะต้องเติมเกล็ดเลือดให้ผู้ป่วยด้วย หลังการรักษาอย่างถูกต้องอาการของผู้ป่วยจะหายไปในระยะเวลาประมาณ 7 วัน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากโรคไข้เลือดออกไม่ค่อยจะพบได้บ่อยนัก แต่ในบางครั้งก็อาจจะเกิดได้ ที่รุนแรงมากคือการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง การทำงานของหัวใจผิดปกติ และตับหรือไตอาจจะวายได้จากภาวะการขาดน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้มากกว่าในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ป่วยเด็ก เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ หากเกิดโรคนี้ในผู้ตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานหรือแม้แต่การแท้งบุตร
ในส่วนของการป้องกันโรคไข้เลือดออก นอกจากการป้องกันไม่ให้เกิดยุงกัดโดยต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบที่พักอาศัย โดยมุ่งการกำจัดยุงลายไม่ให้มีแหล่งน้ำขังที่จะเป็นจุดที่ทำให้เกิดการเพาะพันธุ์ยุงขึ้น หากมีแหล่งน้ำขังการใช้ทรายอะเบทใส่ในน้ำ เช่น โอ่งหรือถังเก็บน้ำ จะช่วยกำจัดลูกน้ำยุงลายได้ ปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้แล้ว โดยวัคซีนชนิดนี้จะใช้ฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ถึง 45 ปี โดยต้องฉีด 3 เข็มห่างกัน 6 เดือน โดยวัคซีนนี้จะป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ ประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์ ลดการนอนโรงพยาบาลได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และลดความรุนแรงของโรคได้ประมาณ 93% ปัญหาก็คือห้ามฉีดวัคซีนนี้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและสตรีมีครรภ์ และวัคซีนนี้ยังมีราคาค่อนข้างจะแพง
ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดโรคไข้เลือดออกในปีนี้พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2565 มีผู้ป่วยทั้งหมด 3,1830 ราย และมีผู้เสียชีวิต 24 ราย นับเป็นอัตราการตาย 0.08 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ป่วยเพศชายและเพศหญิงเท่าๆกัน จำนวนผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 5-14 ปี โดยมีผู้ป่วยประมาณ 10,200 ราย และเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยในช่วงอายุอื่นๆ ด้วย และจำนวนผู้ป่วยต่ำสุดอยู่ในผู้ที่อายุเกิน 65 ปี โดยมีผู้ป่วยประมาณ 970 ราย จะเห็นว่าจำนวนดังกล่าวหากนำมาเทียบกับผู้ป่วยโควิด-19 แล้วจะมีจำนวนต่ำกว่ามากและอัตราการเสียชีวิตก็ต่ำกว่าเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นโรคที่ป้องกันได้และไม่ควรประมาทต่อการเกิดโรคนี้
ในช่วงสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสุดยอดผู้นำของกลุ่ม APEC ซึ่งประกอบไปด้วย 21 ประเทศ โดยจะมีผู้นำสูงสุดของประเทศเข้าร่วมด้วยอย่างน้อย 14 ท่าน ที่เหลือเป็นผู้แทนระดับสูง ซึ่งเนื้อหาของการประชุมส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีการเตรียมการในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงและนำผลที่ได้ไปดำเนินการให้เกิดประโยชน์ในส่วนรวมของกลุ่ม APEC และส่วนของประเทศต่างๆ ด้วย ในฐานะที่พวกเราทุกคนที่เป็นคนไทย ควรจะต้องมีความภาคภูมิใจที่งานประชุมครั้งนี้ได้เกิดขึ้น และร่วมมือร่วมใจในการที่จะแสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้นสนับสนุนการประชุมครั้งนี้ โดยแสดงออกซึ่งความสมัครสมานสามัคคีและเป็นมิตรกับทุกๆ คน รวมทั้งชาวต่างชาติ ทั้งที่มีถิ่นพำนักอยู่ในขณะนี้ และที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้นำต่างชาติที่เข้าร่วมประชุมได้เห็นถึงสิ่งที่เป็นความดีงามของประเทศเราให้มากที่สุด รวมทั้งสามารถดำรงไว้ซึ่งคำว่าสยามเมืองยิ้ม ได้ตลอดไป
ขอลงท้ายบทความนี้ด้วยชื่อของเพลงเพลงหนึ่ง ที่เคยเป็นเพลงดังอย่างมาก ขับร้องโดยนักร้องชื่อดัง คือ คุณหรั่ง ร็อคเคสตร้า ว่ารักเธอประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี