ในช่วงไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมาโดยประมาณ อาเซียนสัมฤทธิผลในการร่วมแรงร่วมใจกันช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจพม่า ภายหลังพายุ
ไซโคลนนาร์กีส และขับเคลื่อนผลักดันให้พม่าดำเนินการตามแผน 7 ประการ (7 points roadmap) เพื่อให้พม่ากลับคืนสู่สังคมประชาธิปไตย
ความสำเร็จดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ และความพร้อมของฝ่ายพม่าในการรับความร่วมมือช่วยเหลือ และดำเนินการร่วมกัน ซึ่งในตอนนั้นก็ถือเป็นความโชคดีที่พม่ามี นายพล เต็ง เส็ง เป็นผู้นำ ซึ่งเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เปิดกว้าง และมีความมุ่งมั่น เป็นนายทหารและผู้นำทางการเมืองที่เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นผู้ที่เคร่งครัดในพุทธศาสนา และในการนี้เมียนมาก็ฟื้นตัวจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมาได้ และต่อมา เมียนมาก็ได้มีการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติและมีการเลือกตั้งทั่วไป (ในปี ค.ศ. 2010/พ.ศ. 2553 และ ค.ศ. 2020/พ.ศ. 2563)
แต่ทว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 พม่าก็ได้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพพม่า ซึ่งถือเป็นการล้มเลิกระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไปโดยปริยาย และหลังจากการปฏิวัติรัฐประหาร ฝ่ายกองทัพพม่าก็ดำเนินการกวาดล้างผู้ต่อต้านอย่างกว้างขวาง และโหดร้ายทารุณ จนกระทั่งทุกวันนี้
โดยที่พม่า หรือเมียนมา ในฐานะที่เป็น 1 ใน 10 ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน หรือเรียกกันทั่วๆ ไปว่า อาเซียน ก็เป็นที่คาดหมาย และเป็นที่เข้าใจกันทั้งในอาเซียน และหมู่ประชาคมโลกว่า “ครอบครัว” อาเซียน จะต้องรับมือร่วมกันแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองเมียนมาในครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะวิกฤตการเมืองเมียนมานั้นส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิกอาเซียน และต่ออาเซียนโดยรวม เพราะการปฏิวัติรัฐประหารเป็นการบ่อนทำลายหลักสิทธิมนุษยชนที่กฎบัตรอาเซียนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในขณะที่อาเซียนโดยรวมต่างก็มีความหวัง ความตั้งใจ ที่จะได้เห็นความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในหมู่ประเทศสมาชิกและสังคมอาเซียนโดยรวม
การปฏิวัติรัฐประหารที่เมียนมา จึงเป็นเรื่องที่สวนทางกับวิสัยทัศน์ความคาดหวัง และกฎเกณฑ์กติกาของอาเซียน ส่วนผลกระทบที่จับต้องได้ก็คือ ความทุกข์ยากของชาวพม่า ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองอาเซียน ที่ชาวอาเซียนอื่นๆ และประเทศสมาชิกอาเซียน จะอยู่นิ่งเฉย นิ่งดูดายมิได้ เพราะเป็นเพื่อนมนุษย์ และเป็นพลเมืองอาเซียนด้วยกัน
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) หลังการปฏิวัติรัฐประหาร 2 เดือนกว่า ประเทศบรูไนซึ่งเป็นประธานอาเซียนตลอดช่วงปี ค.ศ. 2020 ได้จัดการประชุมหารือระหว่างประเทศสมาชิก โดยทางฝ่ายพม่าก็ได้รับเชิญด้วย และหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายพม่าคือนายพลอาวุโส มิน ออง หล่าย หัวหน้าคณะปฏิวัติ และผู้ครองอำนาจสูงสุดของพม่า ที่ประชุมอาเซียนสามารถตกลงกันได้ว่า จะร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤตเมียนมากันอย่างไร? โดยได้มีการประกาศข้อตกลงแบบฉันทามติ เรียกว่า ฉันทามติ 5 ประการ (Five point consensus) อันได้แก่ การยุติการใช้ความรุนแรง, การพบปะเจรจาหารือระหว่างฝ่ายต่างๆ ของพม่า, การร่วมมือช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยการมอบหมายให้ศูนย์มนุษยธรรมอาเซียนเป็นผู้ดำเนินการ, การแต่งตั้งผู้แทนพิเศษอาเซียนว่าด้วยเรื่องพม่า โดยประธานอาเซียนคือ บรูไน (และต่อมาในปี ค.ศ. 2022 โดยกัมพูชา และในปี ค.ศ. 2023 โดยอินโดนีเซีย ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน) และการอนุญาตให้ผู้แทนพิเศษสามารถเข้าไปพบปะทุกกลุ่มของพม่าได้โดยเสรี
จากเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 จนถึงบัดนี้ปลายปี ค.ศ. 2022 แล้วนี้ แผนฉันทมติ 5 ประการ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้นเว้นการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษอาเซียน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งในสายตาของอาเซียนเองและในสายตาของประชาคมโลก จัดได้ว่า “อาเซียนติดหล่ม” ในเรื่องวิกฤตเมียนมานี้ซึ่งหากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือของอาเซียนก็จะยิ่งจืดจาง ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายตัวอาเซียนเอง ในขณะที่ความไม่สงบในพม่าก็ยังคั่งค้างและขยายตัวมากยิ่งขึ้น โดย ณ วันนี้สถานการณ์ก็ได้เริ่มเข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมืองแล้ว และจะเป็นสงครามกลางเมืองที่มุ่งจะเอาแพ้เอาชนะกันให้ถึงที่สุด แทนการหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจาหาข้อยุติโดยสันติวิธี
ความล้มเหลวของอาเซียนในเรื่องเมียนมานี้ และเมื่อเทียบกับความสำเร็จของอาเซียนในเรื่องการฟื้นฟูพม่าจากไต้ฝุ่นนาร์กีส และการนำเมียนมากลับสู่สังคมประชาธิปไตยในเชิงเปรียบเทียบก็จะเห็นได้จากการที่ อาเซียนและผู้นำพม่าในขณะนั้นมีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการที่จะร่วมมือกัน และมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่ในกรณีวิกฤตเมียนมาครั้งนี้มีความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงทำให้ฉันทามติ 5 ประการไม่คืบหน้าด้วยเหตุผลว่า
1. นายพลอาวุโส มิน ออง หล่าย ในฐานะผู้นำเมียนมาผิดคำมั่นสัญญา หรือนัยหนึ่งพูดตามภาษาชาวบ้านว่า “เบี้ยว” และไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
2. แผนฉันทามติ 5 ประการนั้น ขาดเงื่อนไขด้านเวลา ว่า แผนแต่ละประการนั้นจะต้องเกิดขึ้น หรือจะต้องยุติเมื่อใด เช่น การยุติการสู้รบ และการเปิดเวทีการเจรจาปรองดอง เป็นต้น อีกทั้งมิได้มีการวางแผนสำรอง หรือการวางแผนการดำเนินการขั้นต่อไป หากฝ่ายกองทัพพม่าไม่ปฏิบัติตามฉันทามติดังกล่าวข้างต้น
3. แผนฉันทามติ 5 ประการมิได้มีการกำหนดวิธีการปฏิบัติการของผู้แทนพิเศษอาเซียน เช่นว่า จะแค่รับคำสั่งจากประธานอาเซียนเพียงอย่างเดียว หรือจะต้องปรึกษาหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อต่อรอง หรือกดดันฝ่ายกองทัพพม่า
4. ฝ่ายอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ ซึ่งต้องร่วมกันอย่างแข็งขันเพื่อกดดันฝ่ายกองทัพพม่านั้น กลับมีความแตกแยกกัน อันสืบเนื่องมาจากความต่างในอุดมการณ์ และระบบการเมือง ในความมากน้อยของการยึดในหลักของการไม่เข้าแทรกแซงในกิจการภายในของประเทศหนึ่งใด และความต่างในระดับความสัมพันธ์ส่วนตัว กับฝ่ายผู้นำกองทัพพม่า เป็นต้น ทั้งนี้ก็มีข้อสังเกตว่า ประเทศบรูไน และประเทศกัมพูชา ต่างก็เป็นประเทศที่มีศักยภาพจำกัด และมีน้ำหนักในเวทีอาเซียนที่ยังน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับสถานะของพม่า
ขณะที่อาเซียนติดหล่มในเรื่องวิกฤตพม่านั้น อนาคตก็ยังดูไม่ได้มืดมนไปเสียหมด เพราะประธานอาเซียนประเทศต่อไปคือ อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน และเป็นประเทศที่มีความใหญ่โตที่สุด ทั้งในแง่ประชากร พื้นที่ ขนาดเศรษฐกิจ แถมยังเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่โตที่สุดที่มีความเป็นประชาธิปไตย และฉะนั้นอินโดนีเซียจึงมีสถานะแห่งความน่าเชื่อถือ แล้วก็อยู่ในฐานะที่จะพูดจา และชี้แนะ
ชี้ทางให้กับผู้นำฝ่ายกองทัพพม่าได้ ในการที่จะคืนประชาธิปไตยให้กับชาวพม่าให้กลับมาเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่น หน้าตาของอาเซียนโดยรวม และในขณะเดียวกันอินโดนีเซียก็คงอยู่ในฐานะที่จะพูดจาโน้มน้าวให้ประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียนคือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มาร่วมกับอินโดนีเซียอย่างแข็งขันเพื่อให้มีการยุติการสู้รบในพม่าโดยเร็ว และจัดเวทีให้ฝ่ายกองทัพพม่าเจรจาหารือกับฝ่ายต่อต้าน หรือฝ่ายประชาธิปไตยของพม่า ซึ่งประกอบด้วยผู้คนชาติพันธุ์พม่า ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย เช่น ฉาน (ไทยใหญ่) กะเหรี่ยง มอญ คาเรนนี ชิน คะฉิ่น และยะไข่ เพื่อนำไปสู่การขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งวางโครงสร้างทางการเมืองการปกครองของพม่าในกรอบสหพันธรัฐที่เป็นประชาธิปไตย และมีความสมดุลระหว่างอำนาจรัฐบาลกลาง กับรัฐบาลชาติพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น
ซึ่งถ้าอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนเอาจริงเอาจัง แวดวงต่างๆ ก็มีความเชื่อกันว่า อาเซียนจะไม่ติดหล่มอีกต่อไป และจะช่วยเสริมสร้างสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าให้กับพม่า และนำเอาชื่อเสียงของอาเซียนกลับมาได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี